โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364,365, 297, 295 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
นายบุญมี สิมมี และนางเชือน สินมี ผู้เสียหายทั้งสองยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 จำคุก 2 เดือน ของกลางริบคำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยใช้มีดปังตอฟันทำร้ายโจทก์ร่วมทั้งสองตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาหรือไม่ หากฟังว่าจำเลยกระทำดังกล่าวจริงข้อเท็จจริงก็ฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยกระทำไปโดยบันดาลโทสะตามที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมาเพราะโจทก์และโจทก์ร่วมมิได้ฎีกาคัดค้านในข้อนี้ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์มีตัวโจทก์ร่วมทั้งสองมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยใช้มีดปังตอของกลางฟันโจทก์ร่วมที่ 1 ถูกที่หน้าผาก จำเลยจะเข้าฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 เข้าไปขวางไว้ โจทก์ร่วมที่ 2 จึงถูกจำเลยฟันที่ศีรษะจำเลยฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 เอามือรับไว้จึงถูกฟันที่นิ้วมือนอกจากนี้ยังได้ความจากนายฉอ้อน คุ้มภัย พยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่าพยานได้เห็นชายคนหนึ่งใช้มีดฟันโจทก์ร่วมทั้งสองในขณะเกิดเหตุด้วยเพียงแต่พยานปากนี้ไม่แน่ใจว่าคนที่ใช้มีดฟันโจทก์ร่วมทั้งสองคือจำเลยหรือไม่เท่านั้น สำหรับนายสุชาติ สิมมี บุตรชายโจทก์ร่วมทั้งสองมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าพยานเห็นเหตุการณ์ตอนที่จำเลยกำลังใช้มีดฟันศีรษะโจทก์ร่วมที่ 2 จำเลยฟันซ้ำโจทก์ร่วมที่ 2 เอามือรับมีดหลุดจากมือ ตามคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจณรงค์ สุวรรณเขตร์และจ่าสิบตำรวจสาโรจน์ กลิ่นช้าง พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลยได้ความว่าเมื่อพยานทั้งสองไปถึงที่เกิดเหตุ โจทก์ร่วมที่ 2 นำมีดปังตอของกลางมามอบให้พยานแล้วระบุว่าจำเลยเป็นผู้ใช้มีดดังกล่าวฟันโจทก์ร่วมทั้งสอง ตามรายงานความเห็นการตรวจชันสูตรบาดแผลของโจทก์ทั้งสอง เอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 นั้น ปรากฎว่าโจทก์ร่วมที่ 1มีบาดแผลที่หน้าผากแถบขวายาว 5 เซนติเมตร โลหิตไหล กะโหลกแตกร้าวส่วนโจทก์ร่วมที่ 2 มีบาดแผลที่ศีรษะด้านข้างแถบซ้ายยาว 2 เซนติเมตรโลหิตไหลและที่ระหว่างนิ้วนางกับนิ้วก้อยมือซ้ายยาว 4 เซนติเมตรโลหิตไหล สันนิษฐานว่าถูกของแข็งมีคม สำหรับโจทก์ร่วมที่ 1 จะต้องรักษาตัว 30 วัน โจทก์ร่วมที่ 2 จะต้องรักษาตัว 8 วัน นายแพทย์มานิตย์ ศรีปราโมทย์ ผู้รักษาบาดแผลของโจทก์ทั้งสองก็มาเบิกความรับรองรายงานดังกล่าว และยังเบิกความว่าจนกระทั่งวันที่ 24 ตุลาคม2526 ซึ่งเป็นเวลาหลังเกิดเหตุถึงเกือบ 4 เดือน บาดแผลของโจทก์ร่วมที่ 1 ก็ยังไม่หายดีเกิดการอักเสบ โจทก์ร่วมที่ 1 ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีก 4 วัน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยใช้มีดปังตอฟันทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมทั้งสองเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 1 ได้รับบาดเจ็บสาหัสและโจทก์ร่วมที่ 2ได้รับบาดเจ็บ พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ สำหรับโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เหมาะสมแก่รูปคดีแล้วไม่มีเหตุที่จะกำหนดโทษให้เบาลงหรือรอการลงโทษให้จำเลยตามที่จำเลยฎีกาแต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 โดยไม่ระบุว่าให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ชัดเจน"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา295, 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทจึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์