โจทฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เปนกำนันได้ทำรายงานเสนอพนักงานสอบสวนตำหรวดว่า นายอ่องทำร้ายจำเลยที่ ๒ ต่อมาจำเลยสมคบกันขูดลบตกเติมขีดค่าคำว่านายอ่องไนรายงาน และตำหรวดตัดคำเดียวกันนี้ออกจากสมุดเบ็ดเล็ดประจำวัน แล้วแก้ไขเพิ่มเติมคำว่านายสิทธิ กล่อมเทส คือโจทลงแทน โดยจำเลยรู้ว่า โจทไม่ไช่ผู้กะทำผิด แต่จำเลยประสงค์จะช่วยนายอ่อง แล้วจำเลยได้จัดหาพยานมาชั้นสอบสวนเปนเหตุไห้โจทถูกควบคุม และจำเลยที่ ๑ ได้บอกตำหรวดข้อความในสมุดบัญชีคนพาลว่า โจทเปนคนพาลเปนนักเลงย่องเบา เปรการหมิ่นประทาทโจท และจำเลยที่ ๑ สแดงอาคาตมาดร้ายโจทด้วย ขอไห้ลงโทสตามกดหมายลักสนะอาญามาตรา ๒๒๒, ๒๒๕, ๑๒๓ ,๑๕๔ ,๒๗๐, ๒๘๒ และ ๓๐
สาลชั้นต้นสั่งว่าคดีมีมูนฉเพาะมาตรา ๒๘๒ สาลอุธรน์พิพากสายืน
โจทดีกา สาลดีกาวินิฉัยว่า (๑) ข้อหาตามมาตรา ๒๒๒, ๒๒๕ แม้เปนหนังสือที่จำเลยที่ ๑ ทำเอง แต่โจทหาว่าจำเลยแก้เมื่อยื่นไปยังพนักงานสอบสวนแล้ว การที่จำเลยกะทำนี้หากเปนการทำเพื่อไห้เข้าไจว่าได้รายงานชื่อโจทมาแต่เดิม ก็อาดเปนผิดตามมาตรา ๒๒๒(๒) เพราะได้เสนอไปยังพนักงานสอบสวนขาดตอนจากจำเลยแล้ว และแม้เปนกรนีสมคบกับตำหรวดทำผิด เมื่อโจทไม่ได้ฟ้องตำหรวดแล้วโจทก็ฟ้องยังสาลพลเรือนได้ ดังดีกาที่ ๖๒๒/๒๔๘๖
(๒) ข้อหาตามมาตรา ๑๒๓ และ ๑๕๔ ที่จำเลยอ้างตนเปนคนสนิชชิดชอบกับเจ้าพนักงานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไห้พ้นอาญานั้น แม้จำเลยเอาเงินจากนายอ่องเพื่อช่วยนายอ่องเจ้าพนักงานจึงไห้คุแก่นายอ่อง และไห้โทสจำเลยนั้น สาลดีกาเห็นว่าโจทไม่ไช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาดฟ้อง
(๓) ข้อหาตามมาตรา ๒๗๐ ซึ่งจำเลยที่ ๑ รายงานว่าโจทลอบฟันนายน้อย จำเลยจึงแจ้งให้ตำหรวนซาบเพื่อจัดการต่อไปนั้น เปนเรื่องจำเลยรายงานตามหน้าที่ ส่วนการจัดการหย่างไรต่อไปเปนเรื่องของตำหรวด จะเอาผิดตามมาตรา ๒๗๐ ไม่ได้ สาลดีกาขออธิบายว่า ถ้าเปนการนีที่หยู่ในสภาพว่าเจ้าพนักงานจะต้องรีบจับทันทีไม่มีเวลาสอบสวนหรือสืบสวนอาดมีผิดตามมาตรา ๒๗๐ ได้ หากเจ้าพนักงานอาดมีเวลาจัดการสอบสวนหรือสืบสวนไห้ได้ความว่าควนจับกุม ก็หาไช่ความผิดของผู้ร้องเรียนไม่
(๔) ข้อหาตามมาตรา ๓๐ โจทกล่าวไนฟ้องว่า ถ้าทางการบอกไห้จำเลยเกนท์ราสดร ไปทำถนนที่กญาจนบุรี เมื่อไร จำเลยจะเกนท์โจททุกครั้ง เพื่อไห้เปนไข้ตาย สาลดีกาเห็นว่า การสแดงอาคาตมาดร้ายตามมาตรา ๓๐ จะต้องเปนการสแดงอาคาตจะก่อการร้ายไห้แก่ผู้อื่นชนิดจะก่อกวนความสงบเรียบร้อยของประชาชน คือทางอาญานั้นเองดังจะเห็นได้จากตอนท้ายของมาตรานี้ คดีจึงไม่มีมูนความผิดตามมาตรา ๓๐.