โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 18, 62 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 65 วรรคสอง, 66 วรรคสอง, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 62 วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายกับฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานเป็นผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่เข้าหรือออกตามช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง ปรับคนละ 1,800 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52 (1) ฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต ฐานเป็นผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่เข้าหรือออกตามช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง ปรับคนละ 1,200 บาท รวมจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตและปรับคนละ 1,200 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติไทยพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 860 เม็ด น้ำหนัก 100.77 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 18.636 กรัม เป็นของกลาง ตามรายงานการตรวจพิสูจน์และบัญชีของกลางคดีอาญา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ สำหรับความผิดในข้อหาเป็นผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสองคนละ 1,200 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดโทษของศาลล่างทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนความผิดในข้อหาร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่มีพยานโจทก์ปากใดเบิกความยืนยันว่าเห็นจำเลยทั้งสองเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยและเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตรงบริเวณบ้านลิเซ ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากประเทศพม่าเข้ามาในราชอาณาจักรด้วย โจทก์มีแต่เพียงคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ซึ่งคำให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่า อีกทั้งจำเลยทั้งสองได้ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาแล้วว่า จำเลยทั้งสองไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางที่บริเวณสามแยกป่ากล้วย ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ไม่ได้เดินทาง ออกนอกราชอาณาจักรไทยตรงบริเวณหมู่บ้านลิเซ ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ไปยังประเทศพม่าเพื่อนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรในช่องทางดังกล่าวเพื่อนำไปจำหน่ายแต่อย่างใด ดังนั้น คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองจึงมีน้ำหนักน้อย หากข้อเท็จจริงในคดีฟังได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุมจำเลยทั้งสองได้ตรงบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า หรือห่างจากชายแดนเข้ามาในประเทศไทยเพียงเล็กน้อย และนำข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ไปพิจารณาประกอบกับคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสอง ก็อาจจะเป็นการส่อแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองว่าได้นำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากประเทศพม่าเข้ามาในราชอาณาจักร แต่ตามทางนำสืบของโจทก์ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นและจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางขณะที่จำเลยทั้งสองจะเดินผ่านด่านตรวจของเจ้าพนักงานตำรวจบนถนนสายห้วยน้ำขุ่น - ดอยผาช้างมูบ ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งด่านตรวจดังกล่าวนี้อยู่ห่างไกลจากชายแดนประเทศพม่าประมาณ 5 กิโลเมตร เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เช่นนี้ และโจทก์ก็ไม่มีพยานแวดล้อมกรณีอื่นมาสนับสนุน พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยทั้งสองเดินทางออกจากราชอาณาจักรไทยตรงบริเวณหมู่บ้านลิเซ ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เข้าไปยังหมู่บ้านผาขาว ประเทศพม่า แล้วนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากหมู่บ้านผาขาว ประเทศพม่า เข้ามาในราชอาณาจักรตรงบริเวณหมู่บ้านดังกล่าวหรือไม่ การที่จะลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายได้นั้น โจทก์จะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบแสดงให้ศาลรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดในข้อหาดังกล่าวจริง ลำพังคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อการรับฟัง พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังว่าจำเลยทั้งสองเดินทางออกจากราชอาณาจักรไทยแล้วกลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาเพื่อจำหน่าย ศาลฎีกาก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสองในความผิดข้อหาเป็นผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 จำเลยทั้งสองคงมีความผิดในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและเป็นผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ลงโทษในสถานเบานั้น เห็นว่า ความผิดดังกล่าวเกี่ยวโยงกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศชาติโดยตรง เป็นภัยร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม เป็นความผิดร้ายแรง จึงสมควรลงโทษจำเลยทั้งสองให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 25 ปี และปรับคนละ 1,000,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 12 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่มิให้กักขังเกินกว่า 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5