โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 2,687,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 2,814,930.89 บาท กับชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,687,900 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลสัญชาติอเมริกัน ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการรับประกันวินาศภัยในประเทศไทยมีนายสตีเวนเป็นผู้จัดการสาขาประเทศไทยที่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้และได้มอบอำนาจให้นางธีราพรดำเนินคดีนี้แทน โจทก์รับประกันภัยสินค้าทองแดงไว้จากบริษัทโอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด ทุนประกัน 123,183.64 ดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัทโอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ขายสินค้าให้แก่บริษัทไต้หวัน บัสเวย์ จำกัด ในดินแดนไต้หวัน มีข้อตกลงซื้อขายตาม Incoterms CIF Keelung Port ราคา 111,985.13 ดอลลาร์สหรัฐ การส่งสินค้ามีการบรรจุในลังไม้ 20 ลัง น้ำหนักเฉพาะสินค้ารวม 20,931.80 กิโลกรัม และนำเข้าบรรจุในตู้สินค้าเพื่อการขนส่งทางทะเลไปมอบแก่ผู้ซื้อ โดยสัญญาประกันภัยดังกล่าวครอบคลุมความเสี่ยงภัยในการขนส่งสินค้าตั้งแต่โรงงานของผู้ขายไปถึงโรงงานของผู้ซื้อ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งที่ได้ทำสัญญารับจ้างขนส่งสินค้าดังกล่าวจากโรงงานของผู้ขายในจังหวัดฉะเชิงเทราไปยังท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ทำการขนส่งแทน และจำเลยที่ 2 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 4 เป็นผู้ขนส่ง โดยจำเลยที่ 4 ได้มอบให้พนักงานขับรถยนต์บรรทุกของตนขับรถยนต์ลากตู้สินค้าเปล่าไปยังโรงงานของผู้ขายเพื่อบรรจุสินค้า แล้วขับรถยนต์ลากตู้สินค้าที่บรรจุสินค้าแล้วไปยังท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนการขนส่งช่วงทางทะเลนั้น จำเลยที่ 5 เป็นผู้ขนส่งที่ทำสัญญารับขนสินค้าดังกล่าวทางทะเลกับผู้ขายซึ่งเป็นผู้ส่งของ จากนั้นจำเลยที่ 5 ได้ติดต่อกับจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 7 ซึ่งอยู่ในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี จำเลยที่ 7 จึงเป็นผู้ขนส่งที่ตกลงรับมอบหมายให้ขนส่งสินค้าช่วงนี้จากจำเลยที่ 5 ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยที่ 4 ขนตู้สินค้าไปยังท่าเรือแหลมฉบังและบรรทุกลงเรือวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2549 เดินทางถึงท่าเรือคีลุงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ต่อมาเมื่อผู้ซื้อรับมอบตู้สินค้าไปเปิดออกพบว่าสินค้าสูญหายไป 11 ลัง คิดเป็นน้ำหนักสินค้ารวมทั้งลังไม้ 12,095 กิโลกรัม เป็นน้ำหนักเฉพาะสินค้า 11,554.2 กิโลกรัม มีราคาตามใบกำกับสินค้า 61,814.97 ดอลลาร์สหรัฐ และเป็นราคาที่คิดจากมูลค่าที่เอาประกันภัย 67,996.47 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่อมาวันที่ 30 มิถุนายน 2549 โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามที่ผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยมอบหมายให้รับชำระค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์เป็นเงินบาทจำนวน 2,687,900 บาท และทวงถามจำเลยทั้งเจ็ด แต่จำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระเงินแก่โจทก์
...มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะต้องรับผิดในความสูญหายของสินค้าส่วนแรก และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 จะต้องรับผิดในความสูญหายของสินค้าส่วนที่ 2 ในฐานะใด อย่างไร หรือไม่ ปัญหานี้สำหรับกรณีการสูญหายของสินค้าส่วนแรกนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติเป็นเบื้องต้นแล้วว่า บริษัทโอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด ติดต่อจำเลยที่ 1 เป็นคนแรกเพื่อการขนส่งสินค้าครั้งนี้ และจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 หุ้นส่วนผู้จัดการให้ขนส่ง แต่จำเลยที่ 2 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 4 เป็นผู้ดำเนินการขนส่งอีกต่อหนึ่ง ซึ่งกรณีเช่นนี้ย่อมฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ต่างรับจ้างขนส่งสินค้าในฐานะเป็นผู้ขนส่งแล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 ยังปฏิเสธและนำสืบว่า จำเลยที่ 1 ทำหน้าที่รับจ้างทำพิธีการทางศุลกากรและบริการติดต่อหาผู้ขนส่งให้แก่บริษัทโอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด เท่านั้น จึงมีปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งหรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 608 นั้น ผู้ขนส่ง หมายถึง ผู้รับขนส่งของเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติของตน และข้อเท็จจริงได้ความตามหนังสือรับรองนิติบุคคลบริษัทจำเลยที่ 1 ว่า บริษัทจำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ข้อ 9 ในการประกอบกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า แต่นายวีรชัยกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 ยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและเบิกความประกอบว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบรรทุกสินค้า โดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่เพียงดำเนินพิธีการทางศุลกากรให้แก่บริษัทโอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด ผู้ว่าจ้าง จำเลยที่ 1 ได้รับค่าจ้างจากการดำเนินพิธีการทางศุลกากรเป็นเงิน 200 บาท และค่าบริการ 1,300 บาท เท่านั้น ส่วนค่ารถบรรทุกและพนักงานขับรถ จำเลยที่ 1 ไม่มีใบอนุญาตขนส่งจึงขอร้องให้บริษัทเอส.เอ็น.พี.ทรานสปอร์ต จำกัด เป็นผู้ออกใบเสร็จรับเงินให้แทน แล้วจำเลยที่ 1 นำไปจ่ายต่อให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งปรากฏตามรายละเอียดในสำเนาหนังสือวางบิลว่า จำเลยที่ 1 เรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายที่จ่ายล่วงหน้าให้ลูกค้าจากบริษัทโอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด เป็นค่ารถยนต์บรรทุกและพนักงานขับรถจำนวน 4,000 บาท แต่จำเลยที่ 3 หุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ได้วางบิลเรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 1 ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 4 ได้วางบิลเรียกเก็บเงินค่าขนส่งโดยรถยนต์บรรทุกจากจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็จ่ายเงินให้จำเลยที่ 4 หลังจากได้รับชำระเงินจากจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 เรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 1 เป็นค่าขนส่ง 3,300 บาท เท่านั้น ส่วนนางสาวตั้วหมวย กรรมการบริษัทจำเลยที่ 4 เบิกความว่า จำเลยที่ 4 คิดค่าจ้างบรรทุกรายเที่ยวเป็นเงิน 2,800 บาท โดยเรียกเก็บเงินค่าจ้างส่วนนี้จากจำเลยที่ 2 จากพยานหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ให้ขนส่งสินค้าโดยรถยนต์บรรทุกในราคาเพียง 3,300 บาท แล้วจำเลยที่ 2 ว่าจ้างจำเลยที่ 4 ต่อในราคา 2,800 บาท แต่จำเลยที่ 1 กลับเรียกเก็บเงินค่ารถยนต์บรรทุกและคนขับรถจากบริษัทโอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด เป็นเงิน 4,000 บาท ดังนี้จำเลยที่ 1 ย่อมได้เงินส่วนต่างค่าขนส่งเป็นของตนเองเป็นเงิน 700 บาท เช่นนี้ย่อมเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับค่าขนส่งเพื่อตนเองในการขนส่งครั้งนี้ด้วย มิใช่คิดแต่ค่าบริการเพียง 1,300 บาท แต่อย่างใด จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 รับจ้างบริษัทโอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด ขนส่งเพื่อบำเหน็จทางการค้าปกติของตน อันถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งตามมาตรา 608 ดังกล่าว และเมื่อจำเลยที่ 1 ว่าจ้างผู้ขนส่งคนอื่นคือ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ว่าจ้างจำเลยที่ 4 ผู้ขนส่งอื่นอีกทอดหนึ่ง จึงเป็นกรณีที่ผู้ขนส่งมอบหมายสินค้าให้ผู้ขนส่งอื่นขนส่ง ผู้ขนส่งทุกคนคือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จึงต้องรับผิดร่วมกันในความสูญหายของสินค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 และมาตรา 618 ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงต้องร่วมกันรับผิดในความสูญหายของสินค้าส่วนแรกที่มีน้ำหนักรวมลัง 2,130 กิโลกรัม ต่อโจทก์ผู้รับช่วงสิทธิตามสัญญาประกันภัย...
ส่วนที่โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยไปร้อยละ 110 ของราคาสินค้านั้น เป็นความผูกพันตามสัญญาประกันภัยที่บังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญาและผู้รับประโยชน์เท่านั้น แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นผู้ที่ต้องรับผิดตามสัญญาขนส่งไม่ต้องผูกพันตามสัญญาประกันภัย ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่า การสูญหายของสินค้านี้ทำให้ผู้ส่งของหรือผู้รับตราส่งต้องเสียหายมากกว่าราคาสินค้าที่รวมค่าประกันภัยและค่าระวางการขนส่งแล้วแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่าค่าเสียหายต่อความสูญหายของสินค้าที่เสียหายส่วนแรกที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์มีจำนวน 428,219.60 บาท เท่านั้น
ส่วนกรณีที่สินค้าส่วนที่ 2 สูญหายในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 7 เป็นน้ำหนักสินค้ารวมลัง 9,965 กิโลกรัม นั้น สำหรับจำเลยที่ 5 ที่ปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ผู้ขนส่ง แต่เป็นเพียงผู้รับจัดการจองระวางเรือโดยติดต่อจำเลยที่ 7 ผ่านจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 7 นั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 3 ผู้ขนส่ง หมายความว่า บุคคลซึ่งประกอบการรับขนของทางทะเลเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติ โดยทำสัญญารับขนของทางทะเลกับผู้ส่งของและใบตราส่ง หมายความว่า เอกสารที่ผู้ขนส่งออกให้แก่ผู้ส่งของเป็นหลักฐานแห่งสัญญารับขนของทางทะเลแสดงว่าผู้ขนส่งได้รับของตามที่ระบุในใบตราส่งไว้ในความดูแลหรือได้บรรทุกของลงเรือแล้ว และผู้ขนส่งรับที่จะส่งมอบของดังกล่าวให้แก่ผู้มีสิทธิรับของนั้นเมื่อได้รับเวนคืนใบตราส่ง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ต่อไปตามพยานหลักฐานของโจทก์ที่จำเลยที่ 5 ไม่ได้โต้แย้งว่า จำเลยที่ 5 ลงชื่อออกใบตราส่งแก่บริษัทโอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด ผู้ส่งของ ซึ่งแม้ใบตราส่งฉบับนี้ระบุถึงผู้รับตราส่งให้เป็นไปตามคำสั่งของธนาคาร CHANG HWA COMMERCIAL ก็ตาม แต่ก็ระบุชื่อบริษัทไต้หวัน บัสเวย์ จำกัด เป็นผู้ที่ต้องแจ้งให้ทราบ แสดงว่า เมื่อบริษัทดังกล่าวติดต่อกับธนาคารดังกล่าวเกี่ยวกับหนี้การชำระค่าสินค้านี้แล้วก็จะเป็นผู้รับตราส่งต่อไป โดยในใบตราส่งฉบับนี้ระบุว่าเป็นใบตราส่งของจำเลยที่ 5 และในช่องสำหรับลงชื่อผู้ขนส่งก็มีการประทับชื่อจำเลยที่ 5 ในฐานะผู้ขนส่ง ทั้งได้ความอีกว่า จำเลยที่ 7 ได้ออกใบรับขนของ (WAYBILL) ให้แก่จำเลยที่ 5 ระบุว่า จำเลยที่ 5 เป็นผู้ส่งของโดยมีบริษัทเวิลด์เวย์ มารีน ทรานสปอร์เตชั่น แอนด์ โลจิสติก จำกัด เป็นผู้รับตราส่งที่ท่าปลายทางคือท่าเรือคีลุง นอกจากนี้นางสาวปัทมาพยานจำเลยที่ 5 ก็เบิกความรับว่า จำเลยที่ 5 มีวัตถุประสงค์ประกอบการรับขนสินค้าทั้งในประเทศและระหว่างประเทศโดยจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบด้วย ชื่อบริษัทเวิลด์เวย์ มารีน ทรานสปอร์เตชั่น แอนด์ โลจิสติก จำกัด ผู้รับตราส่งในใบส่งของดังกล่าวเป็นตัวแทนจำเลยที่ 5 ซึ่งเมื่อสินค้าส่งไปถึงดินแดนไต้หวันแล้วตัวแทนของจำเลยที่ 5 นี้จะประสานงานกับจำเลยที่ 7 เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการขนสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ โดยตัวแทนจำเลยที่ 5 ดังกล่าวสามารถขอให้จำเลยที่ 7 ปล่อยสินค้าได้เลยโดยไม่ต้องยื่นใบรับขนของ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5 รับขนสินค้าให้บริษัทโอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด ผู้ส่งของ โดยว่าจ้างจำเลยที่ 7 ผ่านจำเลยที่ 6 เป็นผู้ดำเนินการขนส่งอันถือว่าจำเลยที่ 7 เป็นผู้ขนส่งอื่นนั่นเอง ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 5 จะรับสินค้าจากจำเลยที่ 7 ที่ท่าเรือปลายทางด้วยการให้ตัวแทนของตนรับสินค้าเพื่อส่งมอบแก่ผู้รับตราส่ง อันเป็นการทำหน้าที่ผู้ขนส่งตามสัญญารับขนของทางทะเลทุกประการ จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 5 เป็นผู้ขนส่งสินค้าทางทะเลครั้งนี้โดยมีจำเลยที่ 7 เป็นผู้ขนส่งอื่น ดังนั้นเมื่อเหตุแห่งความสูญหายของสินค้าเกิดขึ้นในระหว่างสินค้าอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 7 ผู้ขนส่งอื่น จำเลยที่ 5 และที่ 7 ย่อมต้องร่วมกันรับผิดในความสูญหายของสินค้าดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 39, 43, 44 และ 45 แต่สำหรับจำเลยที่ 6 ซึ่งแม้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 7 แต่จำเลยที่ 6 ไม่ได้ทำสัญญาขนส่งแทนจำเลยที่ 7 ในสัญญาขนส่งกับผู้ขายหรือผู้ส่งของซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยแต่อย่างใด จึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 824 ดังที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยไว้
ส่วนจำนวนค่าเสียหายในความสูญหายของสินค้าส่วนที่ 2 ที่จำเลยที่ 5 กับที่ 7 ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น ตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจะต้องรับผิดโดยไม่ได้รับประโยชน์จากจำนวนจำกัดความรับผิดตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 60 (1) เนื่องจากการสูญหายของสินค้าเกิดจากการทุจริตลักเอาสินค้าไปนั้น เห็นว่า กรณีที่จำเลยที่ 5 กับที่ 7 จะต้องรับผิดในความสูญหายของสินค้าตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 39 นั้น ความรับผิดตามมาตรา 39 นี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 58 กล่าวคือ ความรับผิดของผู้ขนส่งมีจำนวนจำกัดเท่าที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 58 เท่านั้น โดยต้องรับผิดจำกัดเพียงหนึ่งหมื่นบาท ต่อหนึ่งหน่วยการขนส่ง หรือกิโลกรัมละสามสิบบาท ต่อน้ำหนักสุทธิแห่งสินค้านั้น แล้วแต่เงินจำนวนใดจะมากกว่า เว้นแต่จะเป็นกรณีตามมาตรา 60 (1) ถึง (4) ซึ่งกล่าวโดยเฉพาะที่มีปัญหาในคดีนี้เป็นกรณีตามมาตรา 60 (1) ซึ่งผู้ขนส่งไม่อาจจำกัดความรับผิดตามมาตรา 58 ได้ เมื่อการสูญหายเกิดขึ้นจากการที่ผู้ขนส่งหรือตัวแทนหรือลูกจ้างของผู้ขนส่งกระทำหรืองดเว้นกระทำการโดยมีเจตนาที่จะให้เกิดการสูญหาย หรือโดยละเลยหรือไม่เอาใจใส่ ทั้งที่รู้ว่าการสูญหายนั้นอาจเกิดขึ้นได้ แต่ตามข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 หรือที่ 7 หรือตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 5 หรือที่ 7 เป็นผู้ลักเอาสินค้าที่สูญหายไป หรือจำเลยที่ 5 หรือที่ 7 หรือตัวแทนหรือลูกจ้างกระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างใดที่มีเจตนาจะให้เกิดการสูญหาย หรือมีพฤติการณ์อย่างใดที่ถือได้ว่าจำเลยที่ 5 หรือที่ 7 ละเลยไม่เอาใจใส่ทั้งที่รู้ว่าการสูญหายจะเกิดขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นจึงฟังไม่ได้ว่ามีกรณีตามมาตรา 60 (1) ที่ทำให้จำเลยที่ 5 และที่ 7 ต้องรับผิดโดยไม่จำกัดความรับผิด จำเลยที่ 5 และที่ 7 ย่อมรับผิดเพียงจำนวนจำกัดตามมาตรา 58 ดังกล่าวข้างต้น โดยหากคิดจำนวนเงินที่จำกัดความรับผิดหนึ่งหมื่นบาทต่อหนึ่งหน่วยการขนส่งสินค้าครั้งนี้ ก็ถือว่าลังบรรจุสินค้า 20 ลัง นั้น แต่ละลังเป็นหนึ่งหน่วยการขนส่ง สินค้าที่สูญหายระหว่างอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 7 มีไม่ถึง 11 ลัง ดังนั้นหากคิดตามหน่วยการขนส่งก็ย่อมไม่ถึง 110,000 บาท ส่วนการคิดจำนวนจำกัดความรับผิดสามสิบบาทต่อกิโลกรัมของน้ำหนักสุทธิของสินค้านั้น สินค้าที่สูญหายส่วนที่ 2 นี้ มีน้ำหนักสินค้ารวมกับลัง 9,965 กิโลกรัม คิดคำนวณเป็นน้ำหนักสุทธิของสินค้าตามวิธีการเช่นเดียวกับที่คิดในกรณีสินค้าที่สูญหายส่วนแรก จะได้น้ำหนักสุทธิ 9,472.92 กิโลกรัม คิดเป็นจำนวนจำกัดความรับผิดสามสิบบาทต่อกิโลกรัมได้เป็นเงิน 284,187.46 บาท มากกว่าจำนวนเงินจำกัดความรับผิดที่คิดตามหน่วยการขนส่งดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นจำเลยที่ 5 และที่ 7 จึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินแก่โจทก์เป็นจำนวน 284,187.46 บาท เท่านั้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ในจำเลยทุกคนนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วยในส่วนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 5 กับที่ 7 คงเห็นพ้องด้วยในผลเฉพาะจำเลยที่ 6 เท่านั้น อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน 428,219.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2549 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 5 กับที่ 7 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 284,187.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2549 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 5 กับที่ 7 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 30,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 6 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง