โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 137, 267, 268
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นายภุชงค์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 268 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 267 แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษและไม่ลงโทษปรับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนอื่นจะวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า นายภุชงค์ เป็นผู้เสียหายและมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พันตำรวจโทบรรจง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีหน้าที่รับแจ้งเหตุ สืบสวน และสอบสวนคดีอาญาว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 17232 หน้าสำรวจ 2956 ตำบลสิ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ และโฉนดที่ดินเลขที่ 20459 หน้าสำรวจ 3700 ตำบลสิ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้สูญหายไป เพื่อให้พันตำรวจโทบรรจงจดข้อความดังกล่าวลงในรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน ความจริงโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับของจำเลยไม่ได้สูญหาย โดยจำเลยมอบให้มารดานำไปเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินกับนายภุชงค์ ภายหลังกระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยนำรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานดังกล่าวไปใช้อ้างแสดงต่อนายธีระวุฒิ และนางสาวพิชาพา เจ้าพนักงานที่ดินประจำสำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาขุนหาญ เพื่อให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับดังกล่าว เป็นเหตุให้นายธีระวุฒิและนางสาวพิชาพาหลงเชื่อออกใบแทนโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับให้แก่จำเลย เห็นว่า แม้ข้อความที่จำเลยแจ้งจะเป็นความเท็จเพราะความจริงโฉนดที่ดินอยู่ที่นายภุชงค์ และจำเลยนำรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานที่เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จไปใช้อ้างเพื่อขอให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำต่อพันตำรวจโทบรรจง เจ้าพนักงาน นายธีระวุฒิและนางสาวพิชาพาเจ้าพนักงานที่ดิน มิได้กล่าวพาดพิงไปถึงนายภุชงค์หรือนำรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานที่เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จไปใช้อ้างต่อนายภุชงค์ อันจะถือว่านายภุชงค์ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลย อีกทั้งจำเลยมอบให้มารดานำโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับไปเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินกับนายภุชงค์เท่านั้น ซึ่งนายภุชงค์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย นายภุชงค์จึงมิใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ และใช้หรืออ้างเอกสารราชการซึ่งแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) และไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายภุชงค์เข้าร่วมเป็นโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อนายภุชงค์มิใช่คู่ความในคดีจึงไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยอุทธรณ์ของนายภุชงค์จึงเป็นการไม่ชอบเช่นกัน ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยอีกเพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษานี้
พิพากษาให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนายภุชงค์ ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ นายภุชงค์เข้าร่วมเป็นโจทก์ และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น