คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นบุตร จ่าสิบตำรวจสิงห์ บรรจงศิลป์ กับนางสาลี่บรรจงศิลป์ โดยบิดามารดาโจทก์จดทะเบียนสมรสกันเมื่อ พ.ศ. 2495 ต่อมาปี2513 จ่าสิบตำรวจสิงห์ไปจดทะเบียนสมรสกับจำเลย โดยปกปิดมิให้โจทก์และมารดาโจทก์ทราบในปี พ.ศ. 2514 บิดามารดาโจทก์ได้จดทะเบียนหย่ากัน และบิดาโจทก์ถูกคนร้ายทำร้ายจนถึงแก่กรรมเมื่อปี 2516 โจทก์และมารดาโจทก์ได้ยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญ เงินสะสมสวัสดิการและเงินอื่น ๆ ของบิดาโจทก์จำเลยคัดค้าน โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างบิดาโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะ และให้เพิกถอนทะเบียนสมรส
จำเลยให้การว่า บิดามารดาโจทก์จดทะเบียนหย่ากันแล้ว สภาพการสมรสระหว่างบิดามารดาโจทก์ก็ขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน ส่วนการจดทะเบียนสมรสของจำเลยมิได้ถูกเพิกถอนจึงสมบูรณ์ตลอดมาเป็นการชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดต่อเงื่อนไขการสมรสไม่เป็นโมฆะ โจทก์ไม่ขอให้เพิกถอนขณะที่บิดามารดาโจทก์ยังมิได้หย่าขาดจากกันโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์จำเลยรับกันว่าบิดามารดาโจทก์ได้จดทะเบียนสมรสและหย่ากันจริงในระหว่างยังได้หย่ากันบิดาโจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยจริงตามเวลาที่โจทก์บรรยายฟ้องไว้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการสมรสระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะให้เพิกถอนเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3)การสมรสจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อชายหรือหญิงมิได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1490 ตามข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกัน การสมรสของบิดาโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะ ซึ่งความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมนั้นโจทก์ผู้มีส่วนได้เสียย่อมจะกล่าวอ้างขึ้นได้ตามมาตรา 133 และโมฆะกรรมก็ไม่อาจให้สัตยาบันได้ตามมาตรา 134 หรือนัยหนึ่งไม่จำต้องบอกล้างเพราะเสียเปล่ามาแต่ต้นแล้ว แม้บิดามารดาโจทก์จะจดทะเบียนหย่ากัน ก็ไม่ทำให้มีผลย้อนหลังไปถึงการสมรสระหว่างบิดาโจทก์และจำเลยซึ่งตกเป็นโมฆะไปก่อนแล้ว
พิพากษายืน