โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยทำสัญญาค้ำประกันห้างหุ้นส่วนจำกัดรัตนะกิจก่อสร้างไว้กับโจทก์  เนื่องจากการที่ธนาคารโจทก์ออกหนังสือค้ำประกันหนี้สินของห้างที่พึงจะมีขึ้นในภายหน้าว่า  หากห้างไม่สามารถชำระหนี้ให้โจทก์ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ  จำเลยจะเป็นผู้ชดใช้แทน  ต่อมาห้างดังกล่าวขอให้โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันห้างต่อกรมสามัญศึกษา  ในการที่ห้างเข้าทำสัญญาก่อสร้าง  โดยมีข้อสัญญาว่าหากโจทก์ได้รับความเสียหาย  ห้างจะชดใช้ให้โจทก์จนครบ  โจทก์ได้ออกหนังสือค้ำประกันให้  ครั้นต่อมาปรากฏว่าห้างก่อสร้างผิดสัญญาถูกกระทรวงศึกษาธิการซึ่งกรมสามัญศึกษาอยู่ในสังกัดฟ้องร่วมกับโจทก์  และศาลแพ่งพิพากษาให้ห้างกับโจทก์ชดใช้เงินค่าเสียหายให้กรมสามัญศึกษา  ห้างไม่ชำระโจทก์ต้องชำระแทนไปจนครบถ้วน  แล้วห้างกลับไม่ยอมชดใช้ให้โจทก์  จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดชดใช้แทน  โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า  ฟ้องของกระทรวงศึกษาธิการขาดอายุความ  โจทก์ทราบถึงข้อต่อสู้ข้อนี้  แต่ไม่ยกข้อต่อสู้ของห้างซึ่งเป็นลูกหนี้ขึ้นต่อสู้  โจทก์สิ้นสิทธิไล่เบี้ยแก่ห้างจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันห้างไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  พิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  เพราะโจทก์ไม่ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัด  รัตนะกิจก่อสร้าง  จึงสิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาจากห้างลูกหนี้นั้นแล้ว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์  ซึ่งจำเลยตกลงว่าในกรณีที่โจทก์ถูกเรียกร้องให้ชำระเงินตามภาระที่โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันห้างหุ้นส่วนจำกัดรัตนะกิจก่อสร้างให้อยู่ในดุลพินิจของโจทก์ที่จะจ่ายเงินตามภาระการค้ำประกัน  จำเลยจะยกเรื่องโจทก์ละเลยไม่ยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้คดีซึ่งไม่ปรากฏในสัญญาใช้ไม่ได้  และสำหรับข้อต่อสู้เรื่องสิ้นสิทธิไล่เบี้ยที่จำเลยยกขึ้นอ้างนั้น  บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๖๙๕  ให้สิทธิแก่ลูกหนี้ที่จะยกขึ้นเถียงผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชำระหนี้แล้วไม่ให้ไล่เบี้ยลูกหนี้  จำเลยไม่ใช่ตัวลูกหนี้แต่เป็นผู้ทำสัญญาผูกพันไว้กับโจทก์อีกส่วนหนึ่งต่างหาก  จะใช้สิทธิของลูกหนี้เช่นนั้นไม่ได้
พิพากษายืน