โจทก์ทั้งสองฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒,๔๘๕,๙๓๑.๓๘ บาท แก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๘ ซึ่งเป็นวันส่งมอบงานงวดสุดท้ายเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ทั้งสองให้ทำการก่อสร้างอาคารตามฟ้องเป็นเงิน ๗,๓๒๒,๐๐๐ บาท แต่ไม่เคยว่าจ้างให้ก่อสร้างเพิ่มเติมเป็นเงิน ๑,๐๙๘,๙๓๑.๓๘ บาท เมื่อครบกำหนดตามสัญญา โจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองตกลงขยายเวลาก่อสร้างอีก ๖๐ วัน หากก่อสร้างไม่เสร็จยอมให้ปรับวันละ ๒๐,๐๐๐ บาท ครบกำหนดเวลาที่ขยายแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่สามารถก่อสร้างเสร็จตามที่ตกลงกันไว้ ต่อมาโจทก์ทั้งสองได้รับเงินค่าจ้างงวดที่ ๗ และที่ ๘ จากจำเลยทั้งสองเป็นเงิน ๑๒๕,๐๐๐ บาท คงค้างชำระแก่โจทก์ทั้งสองอีก ๑,๓๘๗,๐๐๐ บาท หลักจากนั้นจำเลยทั้งสองแจ้งให้โจทก์ทั้งสองแก้ไขซ่อมแซมส่วนที่บกพร่องของอาคาร แต่โจทก์ทั้งสองเพิกเฉย จำเลยทั้งสอง จึงจ้างบุคคลอื่นก่อสร้างและซ่อมแซมจนแล้วเสร็จ โจทก์ทั้งสองต้องชำระค่าปรับให้แก่จำเลยทั้งสองวันละ ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสองได้แจ้งให้โจทก์ทั้งสองรับเงินค่าจ้างที่เหลือหลังจากหักค่าปรับแล้วเป็นเงิน ๒๓๗,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ทั้งสองไม่ชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๒๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ที่ ๑ และชำระเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ที่ ๒ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๙๕๘,๙๓๑.๓๘ บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๒๒๐,๐๐๐ บาท, ๖๐๐,๐๐๐ บาท และ ๙๕๘,๙๓๑.๓๘ บาท นับแต่วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะฟ้องขอให้ชำระค่าจ้างก่อสร้างงวดที่ ๘ เป็นคดีใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสองชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ ๒๐,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑,๒๙๕,๔๐๓.๖๒ บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๐) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าจ้างงวดที่ ๘ ใหม่ ภายในกำหนดอายุความ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสองชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๓๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "? พิเคราะห์แล้วที่โจทก์ทั้งสองฎีกาข้อสุดท้ายว่า สำหรับเงินค่าก่อสร้างงวดที่ ๘ ขอให้โจทก์ทั้งสองฟ้องเป็นคดีใหม่ภายในกำหนดอายุความตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าก่อสร้างงวดที่ ๘ บางส่วน โจทก์ทั้งสองมิได้นำสืบให้แน่ชัดว่าจำเลยที่ ๑ ค้างชำระแก่โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ คนละเท่าใด จึงให้ยกคำขอส่วนนี้ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะฟ้องบังคับตามคำขอดังกล่าวภายในกำหนดอายุความ ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ทั้งสองนำสืบได้ไม่สมฟ้อง ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกคำขอส่วนนี้เสียทั้งหมด เพราะสามารถที่จะวินิจฉัยให้คดีนี้ได้อยู่แล้ว การที่ศาลชั้นต้นให้สิทธิแก่โจทก์ทั้งสองฟ้องใหม่ในประเด็นนี้อีกจึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์ทั้งสองเองก็อ้างในฎีกาว่าโจทก์ทั้งสองนำสืบไว้แล้วว่าจำเลยทั้งสองค้างชำระเงินงวดที่ ๘ แก่โจทก์ทั้งสองอยู่ ๕๖๗,๐๐๐ บาท โจทก์ทั้งสองจึงชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ เมื่อโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ แต่เลือกที่จะฟ้องคดีใหม่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ไม่ให้สิทธิในการฟ้องคดีใหม่แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจะขอให้ศาลฎีกากลับให้สิทธิดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสองซึ่งได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าเป็นการไม่ชอบหาได้ไม่"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑,๖๗๘,๙๓๑.๓๘ บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๐) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๕.