โจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกขอแบ่งหุ้นอันเกิดจากกองทุนมรดกของขุนวิเศษนุกูลกิจ  ในบริษัทเข้งหงวน จำกัด  ที่เป็นส่วนของโจทก์จำนวน ๓๔ หุ้น  เงินส่วนได้ในโฉนด ๓ ฉบับ  พร้อมด้วยดอกเบี้ยเงินส่วนได้จากการทำเหมืองแร่พร้อมด้วยดอกเบี้ย  และได้ฟ้องจำเลยกับพวกเป็นอีกคดีหนึ่งเรียกเงินส่วนแบ่งเครื่องเพชร  ทอง  เงินรายได้จากค่าเช่าบ้าน  ค่าน้ำยาง  ตามพินัยกรรมของขุนวิเศษนุกูลกิจ  รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณสิบสี่ล้านบาท  โจทก์ได้ยื่นคำร้องเป็นกรณีมีเหตุฉุกเฉินขอให้ยึดหรืออายัดการทำเหมืองแร่ของบริษัท เข้งหงวน จำกัด  เงินในธนาคารซึ่งเป็นชื่อของจำเลยและทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๑ - ๒๒  อ้างเหตุว่า  จำเลยกับพวกขุดแร่ตามประทานบัตรมีรายได้ประมาณเดือนละสี่ล้านบาท  แล้วจำเลยกับพวกเบียดบังเอาเงินจำนวนนี้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจนหมด  และจำเลยกับพวกกำลังจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๑ - ๒๒  ตลอดจนอุปกรณ์การทำเหมืองแร่และรถยนต์  ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยึดหรืออายัดทรัพย์ของจำเลยเป็นกรณีมีเหตุฉุกเฉิน  อ้างเหตุทำนองเดียวกับคำร้องฉบับแรกอีกรวม ๔ ครั้ง  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องทุกครั้ง
โจทก์มายื่นคำร้องขอให้ยึดหรืออายัดการทำเหมืองแร่ทุกแห่งของจำเลย  และให้ยึดและอายัดทรัพย์สินต่าง ๆ ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องตั้งแต่อันดับที่ ๑ - ๒๒  ไว้ก่อนคำพิพากษาอีกครั้งหนึ่งโดยอ้างว่า  จำเลยกับพวกซึ่งครอบครองทรัพย์สินทังหมดในบริษัท เข้งหงวน จำกัด  อันเกิดจากกองทุนมารดกของขุนวิเศษนุกูลกิจ  ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยได้ขุดแร่ตาประทานบัตร ๕ แห่ง  นำไปขายได้เดือนละไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท  แล้วจำเลยกับพวกได้นำรายได้ดังกล่าวเป็นของตน  และจำเลยกับพวกยังเบียดบังซ่อนเร้นจำหน่ายจ่ายโอนเงินฝากในธนาคารอีก ๔ แห่ง เป็นของตนอีกด้วย  นอกจากนี้จำเลยกับพวกกำลังจะยักย้ายจำหน่าย  จ่ายโอนทรัพย์สินตามโฉนดในบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับที่ ๑ ถึง ๑๒ และ ๑๙  และตามบัญชีทรัพย์ตามโฉนดของหนังสือสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตที่ ภ.ก.๑๔/๓๗๖  ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๑๕  อีก ๖๔ โฉนด  และจำเลยกับพวกยังมีพฤติการณ์ทำให้เชื่อได้ว่ากำลังจะยักย้าย  จำหน่าย  จ่ายโอนทรัพย์สินตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องตั้งแต่วันที่ ๑ - ๒๒  และรายการทรัพย์สินอื่นตลอดจนอุปกรณ์การทำเหมืองแร่และรถยนต์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๒๐ และ ๒๑
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า  โจทก์ยังมีสิทธิบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลย  นอกจากที่ให้ยึดและอายัดตามคำร้องได้  ไม่มีเหตุสมควรเพียงพอที่จะขอให้ศาลสั่งคุ้มครองตามขอ  ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอของโจทก์และอนุญาตให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยไว้ก่อนคำพิพากษา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  โจทก์ได้ยื่นคำร้องเป็นกรณีมีเหตุฉุกเฉินขอให้ยึดหรืออายัดการทำเหมืองแร่ของจำเลยและทรัพย์สินต่าง ๆ ตามบัญชีท้ายฟ้องไว้ก่อนคำพิพากษาก่อนถึง ๔ ครั้งด้วยกัน  แต่ละครั้งก็อ้างเหตุผลทำนองเดียวกันว่าจำเลยกำลังจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๑ - ๒๒  ตลอดจนอุปกรณ์การทำเหมืองแร่และรถยนต์  ในการไต่สวนคำร้องดังกล่าวครั้งแรกนั้น  โจทก์เบิกความเพียงว่า  จำเลยขุดแร่ได้แล้วไม่ลงบัญชี  นำเงินไปฝากและแบ่งให้พรรคพวกของจำเลย  ซึ่งต่างก็นำไปฝากไว้กับธนาคารหลายแห่ง  โจทก์ทราบข่าวจากวงธุรกิจทั่วไปว่าเงินที่ฝากไว้กับธนาคารนี้จะจัดการโอนไปต่างประเทศ  นางสาวอุดมพร  ตึ้งเจริญ  เคยบอกโจทก์ว่า  นางเฉ่งครีมภริยานายเก่ง  ลิมปานนท์  เล่าให้ฟังว่าคดีนี้แม้โจทก์ชนะคดีก็ไม่ได้อะไร  เพราะจะเอาเงินไปเข้าธนาคารต่างประเทศที่ปีนัง  จำเลยได้โอนทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๑ - ๑๒  และ ๑๙  ให้บุตรของนายสงวนจำเลยไป  นอกจากที่จำเลยยังทำขายเอกสารบัญชีโอนหุ้นเป็นของนายสงวนจำเลยทั้งหมด  คำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวนี้เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุนเป็นการกล่าวคลุม ๆ ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยกำลังจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ใดตามคำร้องให้แก่ผู้ใด  เมื่อใด  จึงฟังไม่ได้ว่าคำขอนี้มีเหตุผลอันแท้จริงที่จะสั่งอนุญาตตามที่โจทก์ขอ  ฉะนั้น  เมื่อคำร้องขอของโจทก์ที่ขอให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยไว้ก่อนพิพากษา  ครั้งสุดท้ายนี้ยังคงอ้างเหตุผลในการขอทำนองเดียวกับคำร้องขอครั้งแรกที่ศาลเคยไต่สวนแล้วโดยไม่มีเหตุผลพิเศษอื่นใดนอกเหนือไปกว่าเดิม  ศาลจึงชอบที่จะสั่งยกคำร้องโดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องของโจทก์อีกได้  นอกจากนี้ศาลชั้นต้นยังอ้างเหตุผลด้วยว่าโจทก์ยังมีสิทธิบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยนอกจากที่โจทก์ขอให้ยึดหรืออายัด  ซึ่งแสดงว่าคำร้องขอของโจทก์ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามที่โจทก์ขอมาใช้  ฉะนั้น  ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องของโจทก์จึงชอบแล้ว  ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน