คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 26865 ตำบลวัดท่าพระอำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ผู้ร้องตามคำพิพากษาตามยอม ซึ่งศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยกับพวกยอมรับผิดร่วมกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 9,964,127.78 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมตามอัตราส่วนหนี้ที่แต่ละคนต้องรับผิดในส่วนที่โจทก์ไม่ได้รับคืนจากศาลพร้อมทั้งค่าทนายความ โดยจำเลยกับพวกขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2530 หากจำเลยกับพวกผิดนัดชำระหนี้อย่างหนึ่งอย่างใดหรือข้อหนึ่งข้อใดยอมให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ให้ยึดโฉนดเลขที่ 2611,23836, 23835, 23839 ตำบลวัดท่าพระ อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยกับพวกยังต้องชำระหนี้ให้โจทก์ตามส่วนจนครบ และหรือให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยกับพวกออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ ต่อมาจำเลยคดีนี้ได้ทำการรังวัดแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 23839 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยระหว่างจำนองออกเป็นที่ดินแปลงย่อยหลายแปลง ซึ่งแต่ละแปลงยังคงติดจำนองผู้ร้องอยู่ดังเดิม และที่ดินโฉนดเลขที่ 26865 ตำบลวัดท่าพระ อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เป็นที่ดินแปลงย่อยแปลงหนึ่งที่ถูกแบ่งแยกออกมาดังกล่าว ต่อมาจำเลยกับพวกไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์คดีนี้ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดที่ดินโฉนดเลขที่26865 พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาขายทอดตลาด ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองย่อมมีบุริมสิทธิได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองดังกล่าวก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ขอให้ศาลมีคำสั่งขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 26865 พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยปลอดจำนองและให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ดังกล่าวจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
โจทก์คัดค้านว่า ที่ดินดังกล่าวติดภาระจำนองไว้กับผู้ร้องตามที่จดทะเบียนไว้ไม่เกิน 250,000 บาท ผู้ร้องสามารถดำเนินการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้โดยไม่ยาก ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ผู้ร้องรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "โจทก์ฎีกาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 26865 ติดจำนองอยู่กับผู้ร้องในวงเงินตามสัญญาจำนองจำนวน 250,000 บาท ผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จำนองเพียงไม่เกินจำนวนเงินดังกล่าวการที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นโดยมิได้วินิจฉัยและระบุให้แน่นอนว่า ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นเป็นจำนวนเท่าใดไว้ในคำสั่งจึงไม่ชอบ พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคแรก บัญญัติว่า "ถ้าบุคคลใดชอบที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้หรือชอบที่จะได้เงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านั้นได้โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองที่อาจบังคับได้ก็ดี หรืออาศัยอำนาจแห่งบุริมสิทธิก็ดี บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้เอาเงินที่ได้มานั้นชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีที่อาจบังคับเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองหลุด ผู้รับจำนองจะมีคำขอดังกล่าวข้างต้นให้เอาทรัพย์สินซึ่งจำนองนั้นหลุดก็ได้..."เห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวกฎหมายมิได้บังคับว่าศาลจะต้องระบุจำนวนหนี้จำนองที่ผู้ร้องมีสิทธิได้รับก่อนเจ้าหนี้อื่นไว้ในคำสั่งในชั้นนี้ศาลจึงคงพิจารณาแต่เพียงว่าผู้ร้องเป็นบุคคลที่ชอบจะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้หรือชอบที่จะได้เงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านั้นโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองที่อาจบังคับได้หรือไม่เท่านั้นทั้งในคดีนี้ไม่ปรากฏว่าได้มีการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 26865แล้วหรือไม่ จึงไม่อาจทราบได้ว่า ผู้ร้องจะได้รับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดก่อนโจทก์เป็นจำนวนเท่าใด ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 โดยมิได้ระบุจำนวนหนี้จำนองไว้ด้วยจึงชอบแล้ว...".