โจทก์ฟ้องว่า นายช้อยบิดาโจทก์,จำเลยได้เอาที่ดินเนื้อที่ ๑๙ ไร่ ๒ งาน ๕๒ วามาตีเป็นทองคำหมั้นให้แก่นางขันถม ๖ ไร่ ในเวลาที่นางขันถมสมรสกับโจทก์และกองทุนให้โจทก์กับนางขันถมอีก ๔ ไร่ รวมเป็น ๑๐ ไร่ แต่ยังไม่ได้แก้ทะเบียน โจทก์และนางขันถมได้ยึดถือที่ดินนี้เป็นของตนรวม ๑๐ ไร่ ต่อมาโจทก์และนางขันถมอยู่กินด้วยกัน จนมีบุตร คือ เด็กชายเฉลิม นางขันถมตาย นา ๖ ไร่ที่ตีเป็นทองหมั้นและตกเป็นสินส่วนตัว จึงตกได้แก่โจทก์และบุตร ส่วนอีก ๔ ไร่ที่เป็นทุนก็ตกแก่โจทก์และบุตร ส่วนนายช้อยคงเหลืออีกเพียง ๙ ไร่ ๒ งาน ๕๒ วา นายช้อยตายในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ จำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นผู้ออกเงินทำศพ จำเลยจะไม่เกี่ยวข้องกับที่มฤดก ๙ ไร่เศษนี้ โดยให้เป็นกรรมสิทธิแก่โจทก์บัดนี้จำเลยได้ประกาศขอรับมฤดกที่แปลงนี้รวมทั้งของโจทก์ ๑๐ ไร่ด้วย จึงขอให้ศาลแสดงว่า โจทก์มีกรรมสิทธิในที่นา ๑๐ ไร่ ห้ามไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้อง หักค่าทำศพออกจากที่ดินส่วนที่เป็นมฤดกและแบ่งให้โจทก์,จำเลยคนละส่วน รวม ๓ ส่วน จำเลยที่ ๑ ให้การว่านายช้อยเป็นคนวิกลจริต ไม่ได้ทำสัญญาดังฟ้อง หากได้ทำก็โดยถูกหลอกลวงและถูกกลอุบายของโจทก์ การยกให้ไม่สมบูรณ์ จำเลยที่ ๒ ให้การว่าไม่เคยให้โจทก์ออกเงินค่าทำศพนายช้อย โดยจำเลยจะไม่เกี่ยวข้องด้วยกับที่ดินของนายช้อย โจทก์ไม่มีสิทธิหักเงินค่าทำศพออกจากกองมฤดกนายช้อยเพราะเป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างกระทำไปตามหน้าที่ของบุตร ชั้นพิจารณารับกันว่า โจทก์ได้ออกเงินค่าทำศพทดรอง ๖๐๐ บาท ศาลชั้นต้นเห็นว่า แม้นายช้อยจะได้ทำสัญญาไว้จริง ก็เป็นสัญญาให้ที่ดินโฉนด เมื่อไม่ได้จดทะเบียนตกเป็นโมฆะ ที่ ๑๐ ไร่โจทก์ยึดไว้เป็นของตนไม่ถึง ๑๐ ปี และไม่ปรากฎว่าแยกกันปกครองเป็นส่วนสัด โจทก์,จำเลยทั้ง ๓ คนเป็นทายาทโดยธรรมของนายช้อยและได้ว่ากันมาในเรื่องมฤดกอยู่แล้ว สมควรแบ่งมฤดกให้เสร็จไปด้วย พิพากษาให้เอาที่นารายพิพาททั้งแปลงมาแบ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญารายนี้เป็นสัญญาต่างตอบแทนกัน ไม่ใช่สัญญาให้โจทก์ฟ้องขอให้ผู้รับมฤดกปฏิบัติตามสัญญาต่อไป ผู้รับมฤดกจึงมีหน้าที่โอนนา ๑๐ ไร่ให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาได้ตรวจคำพรรณาในคำฟ้อง คดีของโจทก์แล้ว โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยในฐานะผู้รับมฤดกนายช้อยให้โอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา แต่ฟ้องโดยถือว่า ตกเป็นของนางขันถมและโจทก์ ๑๐ ไร่ โจทก์หาได้ฟ้องดังฎีกาไม่
พิพากษายืน