โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่  ๑  เป็นลูกจ้างขับรถยนต์  จำเลยที่  ๒,  ๓,  ๔  ซึ่งเป็นนายจ้างและเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน  ๐๒๐๔  รับจ้างขนส่งคนโดยสารระหว่างทับเที่ยง  -  คลองพล  ในวันเกิดเหตุจำเลยที่  ๑  ขับรถมาในทางการที่จ้าง  ขับรถเร็วเกินขนาดด้วยความประมาท  เป็นเหตุให้รถของจำเลยไปชนรถของนายหกเชื้อง  แซ่หลิง  เสาหน้ารถหักกระแทกตัวโจทก์บาดเจ็บ  ๓  แห่ง  ต้องพิการไปตลอดชีวิต  ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ  จำเลยต้องรับผิดชอบให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์  ฯลฯ
จำเลยที่  ๒  -  ๓  อ้างว่าไม่ใช่นายจ้างจำเลยที่  ๑  จำเลยที่  ๔  เช่าซื้อรถยนต์คันนี้ไปจากจำเลยที่  ๒  แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่  ๑  และจำเลยที่  ๓  ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงินรวม  ๑๒๗๐๐  บาท แต่ยังสงวนไว้ ซึ่งสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษานี้ได้ภายในระยะ  ๒  ปี  นับแต่วันพิพากษาคดีเป็นต้นไป  เมื่อโจทก์ยังไม่หายเป็นปกติ  ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่  ๒  และ  จำเลยที่  ๔
จำเลยที่  ๑  และจำเลยที่  ๓  อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่  ๑  และจำเลยที่  ๓  ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า  หนังสือที่โจทก์เขียนถึงพนักงานอัยการจังหวัดตรัง  ซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นหนังสือประนีประนอมนั้น  เป็นหนังสือที่จำเลยที่  ๑  ขอให้โจทก์เขียนเพื่อประโยชน์ในทางคดีอาญา  ซึ่งจำเลยที่  ๑  ถูกพนักงานอัยการฟ้องต่อศาลในกรณีที่ทำให้โจทก์เกิดบาดเจ็บสาหัสโดยประมาท  โดยจำเลยที่  ๑  กลัวจะต้องรับโทษจำคุก  ข้อความในหนังสือที่ว่าโจทก์ไม่ติดใจฟ้องจำเลยที่  ๑  จึงมีความหมายแต่เพียงในทางอาญา  เพราะเป็นหนังสือเขียนถึงพนักงานอัยการในกรณีที่จำเลยที่  ๑  ถูกฟ้องทางอาญา  ไม่ใช่เรื่องจะไปพูดกับพนักงานอัยการในความรับผิดทางแพ่ง
หนังสือนี้ก็ไม่มีลักษณะเป็นหนังสือประนีประนอมยอมความตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา  ๘๕๐,  ๘๕๑  เพราะเป็นหนังสือที่โจทก์ฝ่ายเดียวเขียนถึงพนักงานอัยการเพื่อหวังผลให้จำเลยที่  ๑  ได้รับความปราณีบรรเทาโทษในทางอาญาเท่านั้นไม่ใช่เรื่องแสดงเจตนาต่อสู้ลูกหนี้เพื่อปลดหนี้ตามมาตรา  ๓๔๐  แห่ง  ป.ม.แพ่งฯ
ประเด็นข้อสุดท้าย  ก็ได้ความว่า  ในระหว่างพิจารณาคดีนี้  อาการป่วยของโจทก์ยังไม่หายเป็นปกติ  ต้องใช้ไม้ยันคำรักแร้ทั้งสองข้างในเวลาเดิน  และศาลชั้นต้นเห็นว่ายังไม่เป็นอาการแน่นอนลงไปทีเดียวว่าโจทก์จะพิการเช่นนั้นต่อไปตลอดชีวิต  หรืออาจหายได้เป็นปกติ  จึงสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาในเรื่องกำหนดค่าเสียหายภายใน  ๒  ปี  ซึ่งไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไข  ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
คงพิพากษายืน