โจทฟ้องว่าสินเดิมของโจทคือเงินกองทุน ๘๐๐ บาทและเครื่องอาภรน์เพ็ชร์พลอยต่าง ๆ รวมเปนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทได้สูญไปไนระหว่าสมรสกับจำเลยที่ ๑ เมื่อพระยาดำรงธัมสารวายชนม์มีสินบริคนห์ตกหยู่ที่จำเลยที่ ๑ ประมาน ๑๙,๒๐๐ บาท จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงิน ๑๐,๘๐๐ บาทไห้โจท
จำเลยไห้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทเคลือบคลุมเพราะไม่ระบุทรัพย์สินเดิมมีอะไรบ้างและสินบริคนห์ที่ตกหยู่กับจำเลยก็ไม่ได้กล่าวไห้ชัดว่ามีอะไรบ้าง เปนเหตุไห้จำเลยเสียเปรียบไนทางคดี
สาลชั้นต้นพิจารนาแล้วพิพากสายกฟ้องสาลอุทรน์พิพากสาแก้ไห้จำเลยที่ ๑ ไช้เงิน ๑๐,๘๐๐ บาทราคาสินเดิมของโจทที่พระยาดำรงธัมสารจำหน่ายไป
จำเลยที่ ๑ ดีกาสาลดีกาเห็นว่าฟ้องโจทกล่าวแต่เพียงว่าสินเดิมของโจทคืออาภรน์เพ็ชร์พลอยราคา ๑๐,๐๐๐ บาท ไม่สแดงไห้ชัดว่าเปนอาภรน์ชนิดได ราคาชนิดไหนเท่าได ทั้งทรัพย์สินบริคนห์ที่ว่ากตหยู่ที่จำเลยโจทก็ไม่ได้สแดงไนฟ้อง่าเปนอะไรบ้างราคาเท่าไดตามที่สาลอุทรน์อ้างว่าโจทยื่นบัญชีหมายเลข ๑๘ สแดงรายละเอียดสินเดิมนั้นก็ปรากตว่า โจทยื่นเมื่อขั้นสืบพยานโจท จึงไม่เปนส่วนหนึ่งของฟ้อง เพราะเปนการพายหลังจำเลยยื่นคำไห้การและสาลสั่งไนเรื่องหน้าที่นำสืบแล้ว ฉนั้นที่สาลอุธรน์ให้โจทชนะไนคำฟ้องที่ไม่สแดงสถาพแห่งข้อหาแจ้งขัดตามที่กดหมายบังคับจึงเปนการไม่ชอบ พิพากสาแก้ไห้บังคับคดีตามคำพิพากสาชั้นต้นที่ไห้ยกฟ้องทุกข้อ