โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายวุฒิพงษ์ สุขสมานพาณิชย์เป็นผู้ฟ้องคดีแทน โจทก์เป็นผู้ใช้บริการกระแสไฟฟ้าของจำเลย โดยมีเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าเลขที่ แอลบี ๐๐๘๔๙๑ ติดตั้ง ณ บ้านเลขที่ ๑๘/๗๓หมู่ที่ ๑ แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ให้บริษัทแอดวานซ์แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด เช่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม๒๕๓๔ เป็นต้นมาผู้เช่าหยุดใช้กระแสไฟฟ้าบางช่วง ทำให้เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าหยุดทำงาน ไม่มีค่ากระแสไฟฟ้าเรียกเก็บ แต่จำเลยเรียกเก็บเงินในเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๔ เป็นเงินเดือนละ ๗,๑๗๐ บาท เดือนธันวาคม ๒๕๓๔ เป็นเงิน ๑๖,๕๙๐ บาทรวมเป็นเงิน ๖๑,๘๖๐ บาท จำเลยได้หักค่าพันธบัตรชำระหนี้ดังกล่าวแล้วในระหว่างที่โจทก์ร้องขอความเป็นธรรมเพราะจำเลยเปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้ากับผู้เช่าอาคารจากประเภทที่ ๒ เป็นประเภทที่ ๓โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ ทั้งไม่ได้สั่งตัดเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าเมื่อผู้ใช้ไม่ชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามระเบียบการงดจ่ายกระแสไฟฟ้า การหักเงินจากพันธบัตรของโจทก์จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จำเลยต้องคืนเงินแก่โจทก์ ๕๔,๖๙๐ บาท ต่อมาวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายกระแสไฟฟ้า แต่จำเลยไม่ดำเนินการ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะมีผู้ขอเช่าอาคารโจทก์ในอัตราเดือนละ ๘๘,๐๐๐ บาทแต่ไม่อาจให้เช่าได้ จำเลยต้องใช้ค่าขาดประโยชน์ดังกล่าว โดยค่าเสียหายก่อนฟ้องโจทก์ขอคิดเพียง ๑๕๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินพร้อมใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๐๔,๖๙๐ บาท และค่าขาดประโยชน์อีกเดือนละ ๘๘,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะนำเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าไปติดตั้ง ให้จำเลยติดตั้งเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าเลขที่ แอลบี๐๐๘๔๙๑ พร้อมจ่ายกระแสไฟฟ้าให้โจทก์ที่บ้านเลขที่ ๑๘/๗๓ ถนนอ่อนนุชแขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร
จำเลยให้การว่า โจทก์ขอใช้ไฟฟ้าโดยสัญญาว่าจะชำระเงินค่าธรรมเนียมการใช้ไฟฟ้าและค่ากระแสไฟฟ้าตามอัตราที่จำเลยกำหนดตลอดไปจนกว่าจะบอกเลิกการใช้ไฟฟ้าให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร และจะปฏิบัติตามข้อบังคับการบริการและใช้ไฟฟ้าของจำเลยตลอดไป รวมทั้งที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไปทุกประการ ซึ่งออกใช้บังคับโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๐๑ จำเลยติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้า(มิเตอร์) ให้โจทก์ใช้ไฟฟ้าในประเภทที่ ๒ ซึ่งเป็นการใช้ไฟฟ้าที่มีความต้องการพลังไฟฟ้าเฉลี่ยใน ๑๕ นาที ที่สูงสุดต่ำกว่า ๓๐ กิโลวัตต์อัตราค่ากระแสไฟฟ้ารายเดือนต่ำสุดเดือนละ ๘๘.๑๒ บาท หากในรอบเดือนใดมีความต้องการพลังไฟฟ้าเฉลี่ยใน ๑๕ นาที ที่สูงสุดตั้งแต่๓๐ กิโลวัตต์ขึ้นไปจะจัดเข้าอยู่ในประเภทที่ ๓ อัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุดแต่ละเดือนคิดจากร้อยละ ๓๐ ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในรอบ ๑๒ เดือนที่ผ่านมา ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติให้จำเลยประกาศใช้อัตราค่าไฟฟ้าใหม่เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๔ สำหรับการใช้ไฟฟ้าประเภทที่ ๓ กำหนดอัตราค่าไฟฟ้ารายเดือนต่ำสุดคิดจากร้อยละ ๗๐ ของความต้องการพลังไฟฟ้าที่สูงสุดในรอบ ๑๒ เดือนที่ผ่านมาโจทก์ไม่เคยแจ้งเลิกการใช้ไฟฟ้าให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษรและผิดนัดชำระค่ากระแสไฟฟ้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๓๔ จนถึงวันที่๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ คิดเป็นเงินรวม ๖๑,๘๖๐ บาท จำเลยทวงถามแล้วโจทก์ไม่ชำระ จำเลยจึงงดจ่ายกระแสไฟฟ้าแก่โจทก์ และได้ใช้สิทธิหักหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าค้างชำระกับหลักประกันที่โจทก์วางเป็นประกันเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๕ เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าของโจทก์จึงไม่มีหลักประกันการใช้ไฟฟ้าอีกต่อไป การที่โจทก์ขอติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้ากลับจะต้องนำหลักประกันมาวางต่อจำเลยใหม่เป็นเงิน ๔๘,๐๐๐ บาทพร้อมชำระค่าติดตั้งเครื่องวัดไฟฟ้ากลับเป็นเงิน ๔๐ บาท ตามระเบียบของจำเลย แต่โจทก์ไม่ยินยอมปฏิบัติตาม จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตอบแทน จนกระทั่งวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๓๖ โจทก์นำหลักประกันการใช้ไฟฟ้าเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคารมาวางเป็นประกันตามวงเงินดังกล่าว จำเลยจึงติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าและให้โจทก์ใช้ไฟฟ้าในวันเดียวกันแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์๔,๐๐๐ บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ โจทก์ยื่นแบบขอใช้บริการกระแสไฟฟ้าต่อจำเลยที่บ้านเลขที่ ๑๘/๗๓ หมู่ที่ ๑ แขวงลาดกระบังเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ต่อมาโจทก์ให้บริษัทแอดวานซ์แมนู-แฟคเจอเรอร์ จำกัด เช่าบ้านดังกล่าว บริษัทนี้ได้ตกลงเรื่องการชำระค่ากระแสไฟฟ้าและแจ้งเปลี่ยนประเภทการใช้กระแสไฟฟ้าแก่จำเลยโดยโจทก์ไม่ได้ตกลงด้วย ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน๒๕๓๔ จำเลยเรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าจากโจทก์เดือนละ ๗,๑๗๐ บาทเดือนธันวาคม ๒๕๓๔ และเดือนมกราคม ๒๕๓๕ เดือนละ ๑๖,๕๙๐ บาททั้งที่โจทก์ใช้กระแสไฟฟ้าในเดือนสิงหาคมเพียง ๔๐ หน่วย ส่วนเดือนอื่น ๆ ไม่ได้ใช้ โจทก์ร้องขอความเป็นธรรมไปยังจำเลย จำเลยยืนยันว่าโจทก์ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามที่เรียกเก็บ ต่อมาจำเลยหักหนี้ค่ากระแสไฟฟ้ากับค่าพันธบัตรและดอกเบี้ยพันธบัตรที่โจทก์วางไว้เป็นประกันโดยโจทก์ไม่ได้ยินยอม คงเหลือเงินคืนโจทก์ ๑๙๒.๐๕ บาท โจทก์ได้ขอตัดฝากเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าต่อจำเลยเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๕ ต่อมาวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ โจทก์ขอให้จำเลยต่อเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้ากลับและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ แต่จำเลยไม่ดำเนินการ เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๓๖โจทก์นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารจำนวนเงิน ๔๘,๐๐๐ บาท ไปวางเป็นประกัน จำเลยจึงต่อเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้ากลับและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ในระหว่างไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้โจทก์ต้องขาดรายได้จากการเจียรนัยพลอยไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท รวม ๘ เดือน คิดเป็นเงิน ๔๘๐,๐๐๐บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียง ๑๕๐,๐๐๐ บาท
จำเลยนำสืบว่า โจทก์เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าในประเภทที่ ๒ ตกลงจะปฏิบัติตามข้อบังคับการบริการและการใช้ไฟฟ้าของจำเลย รวมทั้งที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไปทุกประการ ต่อมาเดือนตุลาคม ๒๕๓๒โจทก์ใช้กระแสไฟฟ้ามากกว่าเดือนละ ๓๐ กิโลวัตต์ จำเลยจึงคิดค่ากระแสไฟฟ้าตามอัตราในประเภทที่ ๓ โจทก์ได้ชำระครบถ้วนตลอดมาต่อมาเดือนสิงหาคม ๒๕๓๔ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๓๕ โจทก์ค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าเป็นเงิน ๖๑,๘๖๐ บาท โดยสี่เดือนแรกค้างชำระเป็นเงินเดือนละ ๗,๑๗๐ บาท ซึ่งเป็นอัตราค่ากระแสไฟฟ้าต่ำสุดของการใช้ไฟฟ้าในประเภทที่ ๓ เดิม ส่วนสองเดือนสุดท้ายค้างชำระเป็นเงินเดือนละ ๑๖,๕๙๐ บาท ซึ่งเป็นอัตราค่ากระแสไฟฟ้าต่ำสุดตามอัตราใหม่จำเลยทวงถามแล้ว โจทก์ไม่ชำระ จำเลยจึงหักหนี้ค่ากระแสไฟฟ้ากับพันธบัตรที่โจทก์วางไว้เป็นประกัน คงเหลือเงิน ๑๙๒.๐๕ บาท ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ โจทก์ขอตัดฝากเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าเพื่อให้จำเลยระงับการจ่ายกระแสไฟฟ้า ต่อมาวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๓๖ โจทก์ขอต่อกลับเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้า จำเลยต่อกลับให้ซึ่งก่อนนั้นโจทก์เคยมาขอให้ต่อเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้ากลับโดยไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมและหนี้ที่ค้างชำระ จำเลยจึงไม่ต่อให้ โจทก์ไม่เคยแจ้งจำเลยว่าไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเองและไม่ได้ขอเลิกใช้
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ โจทก์ยื่นแบบขอใช้ไฟฟ้าประเภทที่ ๒ ในนามโจทก์ที่บ้านเลขที่ ๑๘/๗๓ หมู่ที่ ๑ ซอยอ่อนนุช แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบังกรุงเทพมหานคร ต่อจำเลยโดยโจทก์ตกลงจะปฏิบัติตามสัญญาที่ปรากฏในแบบขอใช้ไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.๑ โจทก์วางหลักประกันการใช้ไฟฟ้าเป็นพันธบัตรมูลค่า ๔๘,๐๐๐ บาท ตามสำเนาแบบรับพันธบัตรเงินกู้เอกสารหมาย จ.๑๑ ต่อมาบริษัทแอดวานซ์แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัดซึ่งเป็นผู้เช่าบ้านดังกล่าวจากโจทก์ได้ขอชำระค่ากระแสไฟฟ้าโดยวิธีให้จำเลยเรียกเก็บเงินจากธนาคารและให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีของบริษัทแล้วโอนเข้าบัญชีของจำเลย ต่อมาได้ยกเลิกการชำระค่ากระแสไฟฟ้าโดยวิธีดังกล่าวตามสำเนาแบบขอให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีเงินฝากเพื่อชำระค่ากระแสไฟฟ้า เอกสารหมาย จ.๔ โจทก์ไม่เคยขอเปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้า จำเลยเป็นผู้เปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้าดังกล่าวเป็นประเภทที่ ๓ ต่อมาโจทก์ไม่ชำระค่ากระแสไฟฟ้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม๒๕๓๔ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๓๕ โดยเดือนสิงหาคมนั้นมีการใช้ไฟฟ้าเพียง๔๐ หน่วย ส่วนเดือนอื่นไม่มีการใช้ไฟฟ้า จำเลยได้เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๔ เดือนละ ๗,๑๗๐ บาทตามอัตราค่าไฟฟ้า เอกสารหมาย ล.๕ และเดือนธันวาคม ๒๕๓๔ กับเดือนมกราคม ๒๕๓๕ เดือนละ ๑๖,๕๙๐ บาท ตามอัตราค่าไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.๘ ซึ่งระบุจำนวนเงินไว้ในสำเนาใบเสร็จรับเงินค่ากระแสไฟฟ้า ตามเอกสารหมาย ล.๗
มีปัญหาชั้นฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิหักหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจากพันธบัตรที่โจทก์วางเป็นประกันไว้หรือไม่ จำเลยต้องติดตั้งเครื่องวัดหน่วยกระแสไฟฟ้าและจ่ายค่ากระแสไฟฟ้ากับค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์และนายวุฒิพงษ์ สุขสมานพาณิชย์ พยานโจทก์เบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.๒ จ.๔ จ.๖ ถึง จ.๘ จ.๑๑ถึง จ.๑๓ และ ล.๕ ล.๖ ล.๘ ล.๑๖ ว่า จำเลยกับบริษัทแอดวานซ์แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด ตกลงเปลี่ยนแปลงประเภทการใช้ไฟฟ้าเป็นประเภทที่ ๓ และได้กำหนดการชำระเงินค่ากระแสไฟฟ้าระหว่างกันโดยโจทก์มิได้รับทราบประการใดทั้ง ๆ ที่ระเบียบของจำเลยบัญญัติไว้ว่าหากมีการเปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้าให้แจ้งจำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าอย่างน้อย ๗ วัน ทั้งเครื่องวัดหน่วยกระแสไฟฟ้าของเดือนกันยายน ๒๕๓๔ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๓๕ มีหน่วยที่ใช้ขึ้นเป็นเลขศูนย์ตามเอกสารหมาย จ.๗ และ จ.๘ แสดงว่าความจริงโจทก์มิได้ใช้กระแสไฟฟ้าอย่างเช่นที่ปรากฏตามอัตราค่าไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.๕และสำเนาบันทึกหน่วยการใช้ไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.๖ แต่ประการใดจำเลยจึงไม่เสียหาย ไม่มีสิทธิเรียกเก็บค่าไฟฟ้าจากโจทก์และไม่มีสิทธิหักหนี้จากพันธบัตรของโจทก์ที่วางไว้เป็นประกัน โดยโจทก์มีข้อต่อสู้โต้แย้งตลอดมากับขอให้ระงับการหักหนี้ด้วย โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยติดตั้งเครื่องวัดหน่วยกระแสไฟฟ้าให้โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ติดตั้งทำให้โจทก์ขาดบุคคลมาเช่าอาคารได้รับความเสียหายต้องขาดรายได้ในปัญหาดังกล่าวได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า ในปี ๒๕๒๗โจทก์ยื่นคำขอใช้บริการกระแสไฟฟ้าต่อจำเลยและขอเพิ่มเติมในปี ๒๕๒๘โดยลงลายมือชื่อในช่องผู้ขอใช้ไฟฟ้า ตามเอกสารหมาย ล.๑ และ ล.๒ทั้งได้ซื้อพันธบัตรการไฟฟ้าของจำเลยไว้จำนวน ๔๘,๐๐๐ บาท ตามสำเนาพันธบัตรเอกสารหมาย จ.๑๑ วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๓๒ โจทก์ให้บริษัทแอดวานซ์แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด เช่าบ้านเลขที่ ๑๘/๗๓ ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.๓ โดยไม่มีข้อตกลงในเรื่องการเพิ่มหรือลดกระแสไฟฟ้ากันแต่อย่างใด ทั้งโจทก์ไม่ทราบว่าบริษัทแอดวานซ์แมนู-แฟคเจอเรอส์ จำกัด ใช้กระแสไฟฟ้าเพียงใด พิเคราะห์แบบขอใช้ไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.๑ และ ล.๒ ซึ่งโจทก์ทำไว้กับจำเลยมีข้อความว่า"ข้าพเจ้าขอให้สัญญาต่อการไฟฟ้านครหลวงว่า
๑. ข้าพเจ้าจะชำระเงินค่าธรรมเนียมการใช้ไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าตามอัตราที่การไฟฟ้านครหลวงกำหนดตลอดไปจนกว่าจะบอกเลิกการใช้ไฟฟ้าให้การไฟฟ้านครหลวงทราบเป็นลายลักษณ์อักษร
๒. ข้าพเจ้ายินยอมชำระเงินค่าไฟฟ้า ค่าเสียหาย และค่าปรับตามที่การไฟฟ้านครหลวงเรียกเก็บในกรณีที่มีการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าเสียหายหรือแสดงหน่วยลดน้อยจากความเป็นจริง
๓. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามข้อบังคับการบริการและใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง รวมทั้งที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไปทุกประการ
๔. หากข้าพเจ้าปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ข้าพเจ้ายอมให้การไฟฟ้านครหลวงงดจ่ายไฟฟ้าได้ทันที โดยข้าพเจ้าจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น"
นอกจากเอกสารดังกล่าวแล้วจำเลยยังนำสืบอธิบายยืนยันเอกสารด้วยว่าแม้โจทก์ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าก็ต้องชำระค่าใช้กระแสไฟฟ้าในอัตราขั้นต่ำที่กำหนดเพราะจำเลยต้องสำรองไฟฟ้าให้โจทก์ใช้ ในข้อนี้ศาลฎีกาพิเคราะห์หนังสืออัตราค่าไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.๕ และ ล.๘ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๓ กับวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๔ตามลำดับ ปรากฏว่าจำเลยได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้ากับอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำไว้ด้วย ฉะนั้นตราบใดที่โจทก์ไม่ได้บอกเลิกการใช้ไฟฟ้าให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร โจทก์ก็ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าที่ใช้ตามจริงตามอัตราที่จำเลยกำหนดไว้ และแม้จะปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ใช้กระแสไฟฟ้าหรือใช้น้อยเพียงใด โจทก์ก็ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าอย่างน้อยในอัตราต่ำสุดที่กำหนดไว้เช่นกัน นอกจากนี้ในเอกสารหมาย ล.๕ และ ล.๘นั้นเองยังมีข้อความระบุถึงวิธีการเปลี่ยนประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อคำนวณอัตราค่ากระแสไฟฟ้าซึ่งไม่จำต้องให้โจทก์แสดงเจตนาตกลงเปลี่ยนประเภทอีก หากเป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อจำนวนการใช้ไฟฟ้าของโจทก์เพิ่มขึ้น เมื่อปรากฏตามสำเนาบันทึกหน่วยการใช้ไฟฟ้าเอกสารหมายล.๖ ว่า ในเดือนตุลาคม ๒๕๓๒ โจทก์ใช้กระแสไฟฟ้ามากกว่าเดือนละ๓๐ กิโลวัตต์ ที่จำเลยเปลี่ยนประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าของโจทก์เป็นประเภทที่ ๓ แล้วเรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าตามเอกสารหมาย ล.๕ ล.๗ และล.๘ จึงกระทำได้โดยชอบ และเมื่อโจทก์ไม่ชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้า เอกสารหมาย ล.๗ ก็จำเป็นอยู่เองที่จำเลยต้องนำมูลค่าพันธบัตรที่โจทก์วางประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้ามาชำระแทนโดยหักชำระหนี้แล้วคงเหลือจำนวนเงิน ๑๙๒.๐๕ บาท ตามบันทึกการหักกลบลบหนี้เอกสารหมาย จ.๑๒ ที่โจทก์ฎีกาว่า หนี้ค่ากระแสไฟฟ้ายังมีข้อต่อสู้อยู่จะนำมาหักกลบลบหนี้กับพันธบัตรไม่ได้นั้น เห็นว่าการหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๑ต้องเป็นกรณีที่บุคคลสองคนต่างมีหนี้ผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระแล้ว แต่คดีนี้กลับได้ความว่าโจทก์เป็นหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจำเลยเพียงฝ่ายเดียวส่วนจำเลยหาได้เป็นหนี้โจทก์ไม่ เพราะโจทก์เพียงแต่นำพันธบัตรไปวางเป็นประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าแก่จำเลยเท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยลักษณะการหักกลบลบหนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยมีหน้าที่ติดตั้งเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้โจทก์พร้อมชำระค่าเสียหายในการที่จำเลยกระทำให้โจทก์ไม่สามารถนำบ้านออกให้เช่าได้เพราะขาดกระแสไฟฟ้านั้น โจทก์ตอบคำถามค้านรับว่า ภายหลังโจทก์ทำการตัดฝากเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าไว้ แต่ครั้นจะขอใช้กระแสไฟฟ้าใหม่จำเลยบอกให้ชำระค่าไฟฟ้าที่ค้างชำระก่อน โจทก์ไม่ยอมชำระ จำเลยจึงไม่ติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าให้ ต่อมาโจทก์ยินยอมชำระและนำเงินประกันการติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าไปวางไว้ต่อจำเลย จำเลยจึงติดตั้งให้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์เบิกความดังกล่าวเจือสมคำพยานจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่เคยแจ้งจำเลยว่าเลิกใช้ไฟฟ้าหรือแจ้งว่าโจทก์ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเอง หลังจากโจทก์ทำเรื่องตัดฝากเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าไว้กับจำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์ขอใช้อีก จำเลยจึงมีหนังสือเรื่องขอให้ต่อเครื่องวัดกระแสไฟฟ้ากลับตามเอกสารหมาย ล.๑๕ ชี้แจงว่า โจทก์มีหนี้ค่าใช้กระแสไฟฟ้าค้างชำระ ๖๑,๘๖๐ บาท ให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าวพร้อมค่าธรรมเนียมจำนวน ๔๐ บาท แก่จำเลยโดยถูกต้องก่อนเมื่อโจทก์ชำระเงินครบถ้วนจำเลยจะต่อเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าให้ ดังนี้นอกจากโจทก์ไม่อาจนำพยานหลักฐานแสดงให้สมข้ออ้างว่า จำเลยกระทำการใดที่ขัดต่อกฎหมายก่อความเสียหายให้โจทก์แล้ว จำเลยยังนำสืบหักล้างข้ออ้างของโจทก์ตามฟ้องได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลย๓,๐๐๐ บาท.