โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๐๖ เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจลักสายสร้อยทองคำ ๑ สายพร้อมด้วยจี้ ๑ อันรวมราคา ๒๕๐ บาทของนางสังเวียน ชุ่มมนัส ซึ่งสวมอยู่ที่คอเด็กชายประพันธ์ ชุ่มมนัส ในบริเวณที่ป้ายจอดรถประจำทาง อันเป็นที่จอดรถสาธารณะ กับขอให้เพิ่มโทษจำเลยและกักกันด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธไม่ได้กระทำผิด ส่วนข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ รับว่าเป็นความจริง
ศาลอาญาพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๓๓๕(๙) ให้จำคุก ๓ ปีเพิ่มโทษตามมาตรา ๙๓ กึ่งหนึ่ง รวมเป็น ๔ ปี ๖ เดือน เมื่อพ้นโทษแล้วให้กักกันตามมาตรา ๔๑ อีก ๓ ปี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกาข้อกฎหมายเฉพาะที่ว่า ศาลจะหยิบยกคำให้การชั้นสอบสวนมาประกอบการพิจารณาพิพากษาไม่ได้ นอกนั้นไม่รับ
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลล่างหยิบยกเอาคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนมาพิจารณาด้วยนั้น ก็เพราะโจทก์ได้ระบุอ้างเอกสารในชั้นสอบสวนเป็นพยานโจทก์ไว้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖ ศาลย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยประกอบกรณีได้ หาเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใดไม่
โดยที่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ เจ้าทรัพย์ไปคอยขึ้นรถประจำทางที่ป้ายจอดรถริมถนน แล้วถูกจำเลยกระชากสร้อยคอที่เด็กชายประพันธ์สวมอยู่ แล้วขึ้นรถประจำทางไป ดังนี้ จำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕(๙) หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จอดรถสาธารณะตามมาตรานี้น่าจะเป็นที่จอดรถซึ่งสาขารณชนมีสิทธิจะนำรถของตนไปจอดได้ แต่เกิดเหตุคดีนี้เป็นเพียงที่กำหนดโดยมีป้ายแสดงให้รู้ว่าเป็นที่รถประจำทางหยุดรับส่งคนโดยสารขึ้นลงในเวลาสั้นอันมีอยู่รายทางเป็นระยะไป หรือนัยหนึ่งคือ ที่รถหยุดเพื่อให้คนโดยสารขึ้นลงรถประจำทางเท่านั้นเองหาใช่ที่จอดรถสาธารณะตามความมุ่งหมายของกฎหมายไม่ ดังนั้น ที่ศาลล่างชี้ขาดลงโทษจำเลยตามมาตรา ๓๓๕(๙) ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย แม้ความข้อนี้จำเลยจะไม่ได้ฎีกาคัดค้านขึ้นมาก็ตาม ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
อาศัยเหตุดังกล่าวมา จังพร้อมกันพิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ ให้จำคุกจำเลยไว้ ๒ ปี เพิ่มโทษตามมาตรา ๙๓ อีกกึ่งหนึ่ง รวมเป็นโทษจำคุก ๓ ปี นอกจากที่แก้นี้แล้ว ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์