คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
มาตรา 14 (4) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม
ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 91 วางโทษฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จำคุก 2 เดือน และปรับ 20,000
บาท ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามก
จำคุก 2 เดือน และปรับ 20,000 บาท รวมจำคุก 4
เดือน และปรับ 40,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 20,000 บาท
โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และมาตรา 30 ริบของกลาง
กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 75,000 บาท
แก่โจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ให้ยกฟ้องฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้โจทก์ร่วมและจำเลยฟังเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่
1 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560 ครั้งที่ 3
เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2561 โดยครั้งนี้ศาลชั้นต้นเขียนระบุไว้ว่าอนุญาตให้เป็นครั้งสุดท้ายจนถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์
2561 ครั้นถึงวันครบกำหนดโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เป็นครั้งที่ 4 ออกไปอีก 1 เดือน
นับแต่วันครบกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นว่า
โจทก์ร่วมอ้างเหตุเดิมเช่นเดียวกับครั้งก่อนและเหตุตามคำร้องไม่ใช่พฤติการณ์พิเศษ
ให้ยกคำร้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมและยกคำสั่งของศาลชั้นต้นในคำร้องของทนายโจทก์ร่วมเริ่มตั้งแต่ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2560
เป็นต้นมาทุกคำสั่ง
โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งใหม่ต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมและยกคำสั่งของศาลชั้นต้นในคำร้องของทนายโจทก์ร่วมเริ่มตั้งแต่ลงวันที่
20 ธันวาคม 2560 เป็นต้นมาทุกคำสั่ง
เพราะเหตุใบอนุญาตให้เป็นทนายความของทนายโจทก์ร่วมหมดอายุนั้น
เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหรือไม่ โดยโจทก์ร่วมฎีกาว่า ทนายโจทก์ร่วมได้ต่อใบอนุญาตให้เป็นทนายความวันเดียวกับวันบัตรหมดอายุ คือ วันที่ 19 ธันวาคม 2560 ทนายโจทก์ร่วมจึงยังคงเป็นทนายความให้แก่โจทก์ร่วมได้ เห็นว่า ทนายโจทก์ร่วมยื่นใบแต่งทนายเข้ามาในคดีเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 โดยแนบสำเนาบัตรประจำตัวสมาชิกสภาทนายความซึ่งระบุวันบัตรหมดอายุ
19 ธันวาคม 2560 ทนายโจทก์ร่วมได้ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนโจทก์ร่วมมาตลอดจนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาและทนายโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่
1 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560
ซึ่งเป็นวันที่ภายหลังบัตรหมดอายุ ทั้งทนายโจทก์ร่วมยังยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์อีกเป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 18
มกราคม 2561 และครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งครั้งนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์
จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตและยกคำร้อง
อันเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังนั้น จึงมีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1
ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมเพียงว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ร่วมหรือไม่
ไม่มีประเด็นว่าใบอนุญาตให้เป็นทนายความของทนายโจทก์ร่วมหมดอายุแล้ว
ทนายโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนโจทก์ร่วม หากศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องการหยิบยกว่าใบอนุญาตให้เป็นทนายความของทนายโจทก์ร่วมหมดอายุแล้ว
ทนายโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนโจทก์ร่วม
โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 1
สมควรฟังข้อเท็จจริงที่นำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายให้แน่ชัดเสียก่อนว่าทนายโจทก์ร่วมได้มีการต่ออายุใบอนุญาตให้เป็นทนายความหรือไม่
ซึ่งปรากฏว่าหลังจากใบอนุญาตให้เป็นทนายความหมดอายุลงแล้ว
ทนายโจทก์ร่วมยังยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์อีก 3 ครั้ง
และยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น คำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
และคำฟ้องอุทธรณ์
อันเป็นข้อบ่งชี้ว่าทนายโจทก์ร่วมน่าจะต่อใบอนุญาตให้เป็นทนายความแล้ว ประกอบกับทนายโจทก์ร่วมเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ร่วมมาตลอด
และเมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา
ปรากฏว่าทนายโจทก์ร่วมได้แสดงหลักฐานว่ามีการต่ออายุใบอนุญาตให้เป็นทนายความแล้วจริง โดยบัตรประจำตัวสมาชิกสภาทนายความระบุวันออก 19 ธันวาคม 2560 วันหมดอายุ 19 ธันวาคม 2562
ซึ่งเป็นเวลาต่อเนื่องจากบัตรเดิม อีกทั้งเลขหมายใบอนุญาตให้เป็นทนายความ 2609/2546 ก็ยังคงเป็นเลขหมายเดิม ทนายโจทก์ร่วมจึงมิใช่เป็นผู้ที่ขาดจากการเป็นทนายความและมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1
แทนโจทก์ร่วมได้ ดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ยกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมและยกคำสั่งของศาลชั้นต้นในคำร้อง ของทนายโจทก์ร่วมเริ่มตั้งแต่ลงวันที่ 20 ธันวาคม
2560 เป็นต้นมาทุกคำสั่งนั้น เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ทั้งพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว
ศาลฎีกาเห็นควรพิจารณาประเด็นตามอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมว่า
มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ร่วมหรือไม่
โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาคดีใหม่
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 208 (2) และมาตรา 225 เห็นว่า
หลังจากศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาและทนายโจทก์ร่วมได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 1 แล้ว เมื่อวันที่ 20
พฤศจิกายน 2560 ทนายโจทก์ร่วมได้ยื่นคำร้องขอคัดถ่ายคำพิพากษาศาลชั้นต้นและเอกสารในสำนวน
ต่อมาวันที่ 20 ธันวาคม 2560
ทนายโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 2
โดยอ้างเหตุว่าเพิ่งได้รับสำเนาคำพิพากษาและเอกสารในสำนวน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ วันที่ 18 มกราคม 2561 ทนายโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 3 โดยอ้างเหตุว่ายัง
(ที่ถูกน่าจะเป็น เพิ่ง) ได้รับสำเนาคำพิพากษาและเอกสารในสำนวน ศาลชั้นต้นอนุญาตโดยระบุกำชับว่าเป็นครั้งสุดท้าย
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
ทนายโจทก์ร่วมกลับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์อีกเป็นครั้งที่ 4
โดยอ้างเหตุว่าเพิ่งได้รับสำเนาคำพิพากษาและเอกสารในสำนวน
ซึ่งเป็นเหตุเดียวกันกับที่เคยอ้างในการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3
เมื่อพิจารณาว่านับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งสุดท้ายนั้น
เป็นเวลาพอสมควรแล้ว แต่ทนายโจทก์ร่วมไม่ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาทั้ง ๆ ที่ศาลชั้นต้นได้สั่งกำชับว่าอนุญาตเป็นครั้งสุดท้าย
กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นความบกพร่องของทนายโจทก์ร่วมเอง
มิใช่พฤติการณ์พิเศษแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมขยายระยะเวลาอุทธรณ์ตามคำร้องลงวันที่
16 กุมภาพันธ์ 2561 และยกคำร้องนั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1
และยกคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 ของโจทก์ร่วม