โจทก์ฟ้องว่า เดิมเมื่อปี พ.ศ. 2503 จำเลยนี้เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่บิดาโจทก์ให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 40, 41 และ 42 หมู่ที่ 6ตำบลบางปะกง อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ออกจากที่ดินของจำเลยในคดีนั้นได้ประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมให้บิดาโจทก์บุตรและบริวาร และผู้เช่าโรงเรือนจากบิดาโจทก์อยู่ในที่ดินนั้นได้30 ปี ต่อมาบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2527เวลากลางวัน จำเลยกับพวกได้ร่วมกันรื้อถอน บ้านเลขที่ 40, 41และ 42 การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 39/2524 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทต้องสูญเสียบ้านและค่าเช่าบ้านที่โจทก์ควรได้รับเป็นเงิน 211,816 บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า บิดาโจทก์เคยปลูกบ้านเพียงหนึ่งหลัง เมื่อปีพ.ศ. 2504 จำเลยจดทะเบียนสิทธิอาศัย (น่าจะเป็นภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์) ให้บิดาโจทก์อยู่ในที่ดินจำเลยได้ 30 ปีต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2510 บิดาโจทก์ถึงแก่ความตาย สิทธิอาศัยซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวบิดาโจทก์ก็สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1404 และตามที่ปรากฏโจทก์หรือทายาทอื่นของบิดาโจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองโรงเรือน คงมีแต่นางบุญเรือน งามลำยอง ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ โดยเปิดเผยเป็นเวลา 15 ปีเศษ จำเลยได้ฟ้องขับไล่นางบุญเรือน นางบุญเรือนกับบริวารได้ออกจากบ้านไปโดยมิได้รื้อบ้านไปด้วย จำเลยจึงได้ขออนุญาตศาล และศาลได้อนุญาตให้รื้อบ้านดังกล่าว จำเลยกระทำไปโดยสุจริต จึงไม่เป็นการละเมิดโจทก์ ในคดีที่จำเลยฟ้องนางบุญเรือน, นางละม้าย โหสกุล ภริยาอันเป็นทายาทของบิดาโจทก์ได้ร้องสอดเข้ามาในคดีโดยอ้างสิทธิเช่นเดียวกับโจทก์นี้ ศาลได้พิพากษาคดีนั้นถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 บ้านเก่ามีราคาไม่เกิน1,000 บาท ให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 50 บาท โจทก์มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องรื้อบ้านไป โจทก์ไม่ยอมรื้อ จำเลยจึงทำการรื้อโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์ตามประเด็นที่โจทก์ฎีกาในข้อแรกว่า โจทก์มีสิทธิอยู่ในที่ดินของจำเลยได้มีกำหนด 30 ปี ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 39/2504ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยโจทก์เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเหนือพื้นดินหรือไม่ ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้รับกันว่าในคดีดังกล่าวจำเลยฟ้องขับไล่บิดาโจทก์แต่ผู้เดียว บิดาโจทก์ตกลงกับจำเลยว่าที่ดินเป็นของจำเลย จำเลยยอมให้บิดาโจทก์และบุตรพร้อมด้วยบริวารของบิดาโจทก์ และผู้เช่าโรงเรือนจากบิดาโจทก์อาศัยในที่ดินได้เป็นเวลา 30 ปี จำเลยจะไปจดทะเบียนสิทธิให้บิดาโจทก์ ต่อมาจำเลยก็ไปจดทะเบียนภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ว่า ที่ดินแปลงนี้ตกอยู่ในบังคับภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ โดยบิดาโจทก์เป็นผู้ได้รับประโยชน์อาศัยปลูกโรงเรือนในที่ดินแปลงนี้ มีกำหนด30 ปี ตามบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2504 คดีจึงมีปัญหาข้อแรกว่า โจทก์คงมีสิทธิอยู่ในที่ดินดังกล่าวได้จนครบกำหนด30 ปี หรือไม่ จำเลยให้การว่า เมื่อบิดาโจทก์ถึงแก่ความตายสิทธิดังกล่าวก็สิ้นสุดลงทันทีเพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวบิดาโจทก์ และเป็นสิทธิที่โอนกันไม่ได้ทางมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลเป็นสัญญาอันหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อความชัดเจนว่า ให้บุตรจำเลยคือโจทก์ในคดีนี้อยู่ในที่พิพาทได้เป็นเวลา 30 ปี ข้อตกลงเช่นนี้ไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงใช้บังคับได้ เมื่อโจทก์ได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์แห่งสัญญา จำเลยก็จะต้องปฏิบัติตามสัญญานั้นการที่จำเลยไม่ยินยอมให้โจทก์หรือบริวารโจทก์อยู่ในที่ดินโดยรื้อถอนโรงเรือนไปเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาและละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
ประเด็นต่อไปมีว่า การที่จำเลยรื้อถอนโรงเรือนไปทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงินเท่าไร ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลล่างวินิจฉัยใหม่ โจทก์คำนวณค่าวัสดุและค่าแรงเป็นเงิน 84,316 บาท ค่าขาดประโยชน์ 127,500 บาท สำหรับค่าวัสดุนั้น นายเบิ้ม เดชผล พยานโจทก์ว่า คำนวณจากสภาพวัสดุใหม่ทั้งสิ้นฉะนั้นจึงรับฟังเป็นราคาที่แท้จริงไม่ได้ โจทก์อ้างว่าสภาพเรือนที่รื้อถอนไปปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.19 จำเลยอ้างว่าสภาพเรือนปรากฏตามภาพถ่ายหมาย ล.1 ศาลพิเคราะห์ดูแล้ว สภาพอาคารเป็นไม้เก่าที่ผุพังมาก แม้ว่าหลังคาจะเปลี่ยนเป็นมุงสังกะสีก็ไม่ทำให้มีราคาเพิ่มขึ้นมามากนัก ราคาอย่างสูงเห็นว่าไม่เกิน20,000 บาท ส่วนค่าขาดประโยชน์นั้น ตามสภาพบ้านดังกล่าว เห็นว่าให้เช่าได้ค่าเช่าเดือนหนึ่งไม่เกิน 300 บาท รวมเวลาตั้งแต่จำเลยรื้อถอนบ้านเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2527 ถึงวันครบกำหนด 30 ปีในวันที่ 16 มีนาคม 2534 เป็นเวลา 7 ปี 1 เดือน คิดเป็นเงิน25,500 บาท รวมทั้งราคาบ้านเป็นเงิน 45,500 บาท ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 45,500 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ.