พบผลลัพธ์ทั้งหมด 409 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4438/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้จากการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้และผลผูกพันตามสัญญากู้ยืม
คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า แม่ชีสมพรได้ยกเงินที่จำเลยเป็นหนี้เงินกู้ตนซึ่งไม่มีหลักฐานการกู้ยืมทั้งหมดให้แก่โจทก์ แล้วจำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์ไว้เพื่อชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลยย่อมมีผลสมบูรณ์และผูกพันคู่สัญญาตามเจตนาของคู่สัญญา จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ระหว่างแม่ชีสมพรอินทร์มงคล กับโจทก์ชอบหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3311/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ถูกต้อง และจำเลยที่ 2 ผูกพันตามหนังสือรับสภาพหนี้ แม้ไม่รู้เห็นด้วย
แม้บัญชีอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร ข้อ 7(ข) ที่ใช้บังคับในปัจจุบันกำหนดให้ปิดอากรแสตมป์ 30 บาท แต่ขณะที่ทำหนังสือมอบอำนาจซึ่งมอบอำนาจให้กระทำการมากกว่าครั้งเดียว บัญชีอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรที่บังคับใช้ในเวลานั้นกำหนดให้ต้องปิดอากรแสตมป์เพียง 10 บาท ก็ตาม ถือได้ว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์แล้ว ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ หนังสือค้ำประกันมีข้อความระบุว่า "ถ้าผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชดใช้เงิน แก่บริษัท ข้าพเจ้ายอมค้ำประกันและรับผิดชอบร่วมกับผู้เช่าซื้อ และยอมให้บริษัทผ่อนเวลาชำระหนี้ ผ่อนผันการชำระหนี้ได้ตามจำนวนครั้งหรือตามเงื่อนไขที่บริษัทจะเห็นสมควร" แสดงว่าจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันยินยอมให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ได้ และเมื่อจำเลยที่ 1 ยินยอมรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่รู้เห็นด้วย จำเลยที่ 2 ยังคงต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์เพราะหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้เป็นค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระแก่โจทก์ แต่โจทก์ผ่อนผันลดหย่อนให้มิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2826/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้จากสัญญาสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นหนี้กู้ยืมเงินและจำนอง รวมถึงดอกเบี้ยผิดนัด
ภายหลังจากโจทก์ จำเลย และว.ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลย และว. ยอมรับผิดร่วมกันชดใช้เงินค่าใช้จ่ายในการส่งคนงานไปทำงานต่างประเทศจำนวน 293,813 บาท ให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์จำเลยได้ตกลงกันใหม่ว่าจำเลยรับว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ 293,813 บาท และจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้ดังกล่าว ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาแปลงหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นหนี้เงินกู้และจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่ปรากฏข้อความในหนังสือสัญญาจำนอง สัญญาจำนองจึงมีผลบังคับตามกฎหมาย การที่โจทก์จะรับชำระหนี้จำนองไว้บางส่วนตามหนังสือสัญญาชำระหนี้ซึ่งมีข้อความสงวนสิทธิในการจะฟ้องบังคับจำนองหากจำเลยชำระหนี้จำนองไม่ครบ ภายหลังจากที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยแล้วก็ตาม ไม่ถือว่าโจทก์สละเจตนาที่จะบังคับจำนองกับจำเลยยังถือเป็นหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองอยู่ การบอกกล่าวบังคับจำนองชอบแล้ว แม้ในหนังสือสัญญาจำนองมีข้อความระบุว่าไม่มีดอกเบี้ยก็ตามแต่หนังสือสัญญาจำนองนี้เป็นทั้งสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองข้อความที่ว่าไม่มีดอกเบี้ยจึงหมายความว่าที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์293,813 บาท นั้นไม่ต้องเสียดอกเบี้ยและสัญญาจำนองก็ไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงินแต่เมื่อจำเลยมิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามกำหนดเวลาในหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง จำเลยย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 244
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ใหม่: การตกลงผ่อนชำระหนี้แทนการใช้สิทธิไล่เบี้ย ทำให้หนี้เดิมระงับ
โจทก์จำนองที่ดินเป็นประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยต่อธนาคาร เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้ชำระหนี้แทนจำเลยไปตามจำนวนที่จำเลยเป็นหนี้ธนาคาร โจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยให้จำเลยใช้เงินคืนตามจำนวนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่ธนาคารไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 724 แต่โจทก์มิได้ใช้สิทธิไล่เบี้ย กลับตกลงกับจำเลยทำหนังสือสัญญาไว้ต่อกัน มีข้อความสรุปว่า จำเลยเป็นหนี้เงินกู้ ศ.และโจทก์เป็นเงิน 300,000 บาทจำเลยได้มอบเช็คจำนวน 6 ฉบับ ฉบับละ 50,000 บาท ไว้เป็นประกันเงินกู้และจำเลยจะต้องผ่อนชำระเงินกู้ให้โจทก์เดือนละ 3,000 บาทจนกว่าจะครบ กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีหนี้ใหม่เกิดขึ้น เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่มีผลให้หนี้เดิมระงับไป ดังนั้นโจทก์ชอบที่จะฟ้องบังคับจำเลยตามมูลหนี้ใหม่ตามหนังสือสัญญาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ใหม่ทำให้หนี้เดิมระงับ สิทธิเรียกร้องเปลี่ยนไปตามสัญญาใหม่
จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร ท. โดยโจทก์จำนองที่ดินเป็นประกัน ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้แก่ธนาคาร ท.โจทก์ได้ชำระแทนจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยให้จำเลยใช้เงินคืนตามจำนวนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่ธนาคารไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 724แต่โจทก์มิได้ใช้สิทธิไล่เบี้ยดังกล่าว กลับตกลงกับจำเลยทำหนังสือสัญญาไว้ต่อกันมีข้อความว่า จำเลยเป็นหนี้เงินกู้ศ. และโจทก์มีการมอบเช็คไว้เป็นประกันเงินกู้ และตกลงจะผ่อนชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวทุกเดือนจนกว่าจะครบ กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีหนี้ใหม่เกิดขึ้นตามเอกสารที่ทำต่อกันเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มีผลทำให้หนี้เดิมระงับไป ดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องบังคับจำเลยตามมูลหนี้ใหม่ในเอกสารนั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2464/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ใหม่จากเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และการขาดนัดยื่นคำให้การที่ไม่สมเหตุผล
จำเลยทำสัญญากู้มอบให้โจทก์เนื่องจากจำเลยนำเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายไปแลกเงินสดกับโจทก์แล้ว ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ การทำสัญญากู้จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ จำเลยจะอ้างเอาการไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้มาเป็นข้อต่อสู้ว่าไม่มีหนี้ตามสัญญากู้ต่อกันหาได้ไม่ ในชั้นไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลย มีเพียงตัวจำเลยเบิกความว่าภรรยาเป็นผู้รับหมายเรียกฯ ไว้แทน การที่ภรรยาจำเลยไม่แจ้งให้จำเลยทราบก็เป็นความบกพร่องของฝ่ายจำเลยเอง และถ้าภรรยาจำเลยไม่สามารถจะแจ้งให้จำเลยทราบได้ ก็เป็นเรื่องที่ภรรยาจำเลยจะต้องมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลจึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2200/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้สองประเภท (เงินกู้และเช่าซื้อ) แม้ทวงรวมกันก็ไม่แปรสภาพเป็นหนี้เดียวกัน การยึดทรัพย์สินชำระหนี้ประเภทหนึ่ง ไม่กระทบหนี้อีกประเภท
จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ 2 ประเภท คือ หนี้เงินกู้ประเภทหนึ่งและหนี้ค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์อีกประเภทหนึ่ง โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามหนี้ทั้ง 2 ประเภทรวมกันไปยังจำเลย การที่โจทก์ทวงหนี้จำเลยทั้ง 2 ประเภท โดยทำหนังสือทวงถามฉบับเดียวกันจะแปลว่าหนี้ 2 ประเภทนั้นได้แปลงเป็นหนี้ใหม่แล้วหรือแปรสภาพเป็นหนี้เดียวกันแล้วหาได้ไม่เพราะการที่จะถือว่ามีการแปลงหนี้ใหม่จะต้องได้ความว่าคู่กรณีคือ โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้กัน แต่เรื่องนี้โจทก์จำเลยไม่ได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ ดังนี้แม้โจทก์ได้ยึดรถแทรกเตอร์จากจำเลยคืนไปอันอาจทำให้หนี้ค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ระงับไปก็ตาม ก็ไม่ทำให้หนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้อีกประเภทหนึ่งระงับไปด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองที่ดินด้วยใจสมัคร & การนำสืบเอกสารประกอบการจำนอง ศาลรับฟังได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงให้โจทก์ทำสัญญาจำนองไว้แก่จำเลย จำเลยให้การว่าจำเลยรับโอนสิทธิเรียกร้องมาจาก ช.ซึ่งโจทก์เป็นหนี้เงินกู้ ช. อยู่ จำเลยจึงนำสืบตามคำให้การของตนได้ และเป็นการนำสืบอธิบายที่มาของหนี้ตามสัญญาจำนองมิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารที่ต้องห้ามตามกฎหมาย หนังสือสัญญากู้ที่เป็นเพียงพยานหลักฐานที่อ้างถึงความเป็นมาของสัญญาจำนองว่ามีหนี้เดิมกันอยู่จริง และจำเลยมิได้ฟ้องให้โจทก์รับผิดตามสัญญากู้โดยตรง แม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ โจทก์จำนองที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลย โดยโจทก์ยินยอมให้เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้จาก ช. มาเป็นจำเลย การทำสัญญาจำนองจึงไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้องที่จะต้องมีการทำเป็นหนังสืออีกต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6383/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ใหม่และการบังคับจำนอง: ศาลวินิจฉัยได้ถูกต้องตามประเด็น
โจทก์จำเลยทำสัญญาแปลงหนี้ใหม่เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้และลูกหนี้หนี้เดิมเป็นอันระงับ หนี้ใหม่เป็นหนี้เงิน จำเลยย่อมจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ได้ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้เงินกู้ตามฟ้องหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเกิดขึ้นจากการแปลงหนี้ใหม่ สัญญาจำนองจึงมีผลบังคับได้นั้น หาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่เพราะการวินิจฉัยถึงการแปลงหนี้ใหม่ก็เพื่อให้ทราบถึงที่มาแห่งหนี้ของโจทก์จำเลยให้ชัดขึ้นเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3919/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากเรือชนสะพาน: ความรับผิดของเจ้าของเรือ ผู้ควบคุม และผู้ว่าจ้าง รวมถึงประเด็นอายุความและการฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยที่ 7 มิได้ให้การต่อสู้คดีในเรื่องฟ้องเคลือบคลุมไว้เช่นเดียวกับจำเลยอื่นจึงไม่มีสิทธิที่จะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์เพราะเป็นข้ออุทธรณ์ที่นอกเหนือคำให้การของตน ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ก็ไม่มีผลให้จำเลยที่ 7 มีสิทธิฎีกา โจทก์เป็นเจ้าของสะพานเทพหัสดินทร์ซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 5 แม้จำเลยที่ 1 ได้ออกเงินค่าซ่อมแซมสะพานที่เสียหายนั้นไปแทนโจทก์ ก็เป็นการออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนเท่านั้น โจทก์ยังต้องชดใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ทดรองจ่ายไปดังกล่าวคืนให้แก่จำเลยที่ 1 มิใช่กรณีที่จำเลยที่ 1 ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง สัญญาเอกสารหมาย ล.15 เป็นสัญญาที่จำเลยที่ 4 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 3 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ตกลงว่าจ้างบริษัท น. เป็นผู้รับจ้างซ่อมสะพานโดยได้จ่ายค่าซ่อมสะพานแทนจำเลยที่ 3 ไปก่อนแล้ว จำเลยที่ 3 จะจ่ายเงินนั้นคืนให้จำเลยที่ 1สัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสะพานที่ถูกละเมิดกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหาทำให้หนี้ซึ่งเกิดจากมูลละเมิดระงับไปไม่ สะพานเทพหัสดินทร์มีช่องกลางสะพานให้เรือลอด ได้ ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่ผู้เดินเรือด้วยกัน ช่องทางที่เกิดเหตุเรือชนเสาสะพานไม่ใช่ช่องทางให้เรือแล่น การที่เรือพ่วงชนเสาสะพานจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ควบคุมเรือลากจูงที่ไม่บังคับเรือเข้าไปในช่องทางที่ใช้เป็นทางสำหรับให้เรือแล่นผ่านโดยเฉพาะ เป็นเหตุให้ผักตบชวาไปปะทะ กับหัวเรือพ่วงที่ลากจูงมาแล้วเบี่ยงเบนไปชนกับเสาสะพานจนเกิดความเสียหาย ในระหว่างที่จำเลยที่ 5 ขับเรือลากจูงเรือพ่วงของจำเลยที่ 1นั้นยังมืดอยู่ไม่มีแสงจันทร์ และจำเลยที่ 5 ไม่ได้ใช้ไฟฉายเป็นสัญญาณใด ๆ ระหว่างเรือลากจูงกับเรือพ่วงเลย จำเลยที่ 5 เห็นผักตบชวาในระยะใกล้เมื่อเรือเข้าไปอยู่ใต้สะพานแล้วไม่สามารถกลับลำได้ จึงไม่มีทางที่ผู้ที่อยู่ในเรือพ่วงจะทราบและเตรียมป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้นได้ การที่เรือพ่วงชนสะพานของโจทก์จึงมิใช่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ผู้ควบคุมเรือพ่วง กรมทางหลวงโจทก์เป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการ มีระเบียบแบบแผนในการหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งในกรณีที่มีการละเมิดเกิดขึ้น จะถือเอาวันที่อธิบดีของโจทก์รับทราบโดยทางบอกเล่าหรือโดยทางหนังสือพิมพ์นั้นหาได้ไม่ ต้องถือเอาวันที่อธิบดีของโจทก์รับทราบผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่ง เป็นวันที่โจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน การที่องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ จำเลยที่ 9 ว่าจ้างจำเลยที่ 7 เจ้าของเรือลากจูงไปทำการลากจูงเรือพ่วงโดยจำเลยที่ 5ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 7 เป็นผู้ควบคุมเรือแล้วขับไปชนสะพานเทพหัสดินทร์ เท่ากับจำเลยที่ 7 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 9 และถือได้ว่าจำเลยที่ 9 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 5 ด้วย จำเลยที่ 9จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 7 ในผลแห่งละเมิด.