คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 349

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 409 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เลตเตอร์ออฟเครดิต & ทรัสต์รีซีท: การค้ำประกัน & การคิดดอกเบี้ยต่อเนื่องจากสัญญาเดิม
จำเลยขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตต่อธนาคารโจทก์เพื่อส่งสินค้าจากผู้ขายในต่างประเทศ โจทก์เปิดให้ตามคำขอ ผู้ขายส่งสินค้ามาให้ โจทก์ชำระราคาสินค้าให้แก่ผู้ขายไปแล้ว เมื่อสินค้ามาถึงโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อให้นำเงินมาชำระหนี้ จำเลยไม่มีเงินพอ และตามข้อตกลงในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตสินค้าตกอยู่ในความยึดถือของโจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยจึงทำสัญญาทรัสต์รีซีทไว้แก่โจทก์เพื่อขอรับเอาเอกสารการส่งสินค้าไปเอาสินค้าออกจากท่าเรือแล้วนำสินค้าไปจำหน่ายและนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ดังนี้การทำสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นเพียงวิธีการผ่อนปรนของเจ้าหนี้ให้ลูกหนี้มีโอกาสนำสินค้าที่สั่งซื้อมาด้วยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตออกจากท่าเรือไปขายเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตเท่านั้น สัญญาทรัสต์รีซีทเป็นสัญญาซึ่งต่อเนื่องกับสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต มิได้ทำให้หนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตระงับสิ้นไปได้ในตัว
จำเลยได้รับสำเนาสัญญาทรัสต์รีซีทท้ายฟ้องพร้อมคำแปลถ้าเห็นว่าโจทก์แปลคำว่า "การันตี" ว่า "ค้ำประกัน" ไม่ถูกต้อง จำเลยจะต้องปฏิเสธความถูกต้องแห่งคำแปลนี้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์แปลผิด ก็ไม่น่าเชื่อว่าคำแปลที่ถูกต้องจะไม่ใช่ "ค้ำประกัน"
เมื่อจำเลยแสดงเจตนาไว้ในสัญญาว่า "ค้ำประกัน" ผู้ค้ำประกันจะมีหน้าที่อย่างใดต่อเจ้าหนี้ย่อมทราบได้จากบทนิยามของคำว่า "ค้ำประกัน" ในมาตรา 680 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้กล่าวไว้ให้ชัดลงไปว่ายอมผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้การค้ำประกันนั้นไร้ผล
ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์เพียง 8,000 บาท ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์ถึง 20,000 บาท ดังนี้ เมื่อได้พิจารณาถึงจำนวนทุนทรัพย์ ความยากง่ายแห่งการดำเนินคดีตลอดถึงงานที่ทนายโจทก์กระทำไปแล้ว ศาลฎีกาลดค่าทนายโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้แทนลงบ้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เลตเตอร์ออฟเครดิต & ทรัสต์รีซีท: หนี้ยังไม่ระงับ, การค้ำประกันมีผลผูกพัน, คิดดอกเบี้ยได้
จำเลยขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตต่อธนาคารโจทก์เพื่อส่งสินค้าจากผู้ขายในต่างประเทศ โจทก์เปิดให้ตามคำขอผู้ขายส่งสินค้ามาให้โจทก์ชำระราคาสินค้าให้แก่ผู้ขายไปแล้ว เมื่อสินค้ามาถึงโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อให้นำเงินมาชำระหนี้ จำเลยไม่มีเงินพอ และตามข้อตกลงในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต สินค้าตกอยู่ในความยึดถือของโจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยจึงทำสัญญาทรัสต์รีซีทไว้แก่โจทก์เพื่อขอรับเอาเอกสารการส่งสินค้าไปเอาสินค้าออกจากท่าเรือแล้วนำสินค้าไปจำหน่ายและนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ดังนี้การทำสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นเพียงวิธีการผ่อนปรนของเจ้าหนี้ให้ลูกหนี้มีโอกาสนำสินค้าที่สั่งซื้อมาด้วยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตออกจากท่าเรือไปขายเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตเท่านั้น สัญญาทรัสต์รีซีทเป็นสัญญาซื้อต่อเนื่องกับสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตมิได้ทำให้หนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตระงับสิ้นไปได้ในตัว
จำเลยได้รับสำเนาสัญญาทรัสต์รีซีทท้ายฟ้องพร้อมด้วยคำแปลถ้าเห็นว่าโจทก์แปลคำว่า "การันตี" ว่า "ค้ำประกัน" ไม่ถูกต้อง จำเลย จะต้องปฏิเสธความถูกต้องแห่งคำแปลนั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลย มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์แปลผิด ก็ไม่น่าเชื่อว่าคำแปลที่ถูกต้องจะไม่ใช่"ค้ำประกัน"
เมื่อจำเลยแสดงเจตนาไว้ในสัญญาว่า "ค้ำประกัน" ผู้ค้ำประกันจะมีหน้าที่อย่างใดต่อเจ้าหนี้ย่อมทราบได้จากบทนิยามของคำว่า"ค้ำประกัน" ในมาตรา 680 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นอยู่แล้วแม้จะไม่ได้กล่าวไว้ให้ชัดลงไปว่ายอมผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้การค้ำประกันนั้นไร้ผล
ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์เพียง 8,000 บาท ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์ถึง 20,000 บาท ดังนี้เมื่อได้พิจารณาถึงจำนวนทุนทรัพย์ ความยากง่ายแห่งการดำเนินคดีตลอดถึงงานที่ทนายโจทก์กระทำไปแล้ว ศาลฎีกาลดค่าทนายโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้แทนลงบ้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 829/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้และการรับผิดในหนี้เดิม แม้เจ้าหนี้เดิมจะแทงเพิกถอนหนี้แล้ว
ตามฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยกู้และรับเงินไปจาก อ. สามีโจทก์ ตามสัญญากู้หมาย จ. 8 จำนวนเงิน 142,800 บาท แล้วนำสืบว่าหนี้ตามสัญญากู้หมาย จ.8 มีมูลหนี้อันเกิดจากหนี้เงินที่จำเลยกู้ อ. ไป 80,000 บาท ตามสัญญากู้หมาย จ.3 แล้วต่อมาจำเลยกู้เงินเพิ่มและมีการแปลงหนี้ใหม่มาเป็นสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง การนำสืบดังกล่าวนี้ก็เป็นการนำสืบถึงที่มาของหนี้ที่โจทก์ฟ้องว่ามีมูลหนี้เดิมเป็นมาอย่างไร ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะนำสืบได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็นต่างไปจากคำฟ้อง
แม้หนี้เดิมตามสัญญากู้หมาย จ.3 นั้น อ. เจ้าหนี้ได้แทงเพิกถอนไปแล้ว และได้นำมารวมยอดเป็นเงินกู้ในสัญญากู้ที่ทำกันขึ้นใหม่ เงินกู้นี้จำเลยไม่ได้ชำระ ดังนี้ หนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้อง ยังถือไม่ได้ว่าได้มีการแปลงหนี้ใหม่ อันจะเป็นเหตุให้หนี้เงินกู้เดิมนั้นระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 จำเลยยังต้องรับผิดในหนี้เดิมตามมาตรา 351

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้และการบังคับให้โอนที่ดินหลังชำระราคา
เดิมห.ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทจากจำเลย ตามเอกสารหมาย จ.3 ชำระราคาแล้ว ต่อมา ผ. ทำสัญญาจะซื้อขายต่อจากห.ชำระราคาแล้วตามเอกสารหมายจ.2 ต่อมาโจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายต่อจาก ผ. ได้ชำระราคาให้ ผ. แล้ว ตามเอกสารหมาย จ.1ในที่สุดโจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายกันอีกตามเอกสารหมายจ.4ระบุว่าจำเลยได้รับเงินถูกต้องแล้ว ต่อมาจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์เช่นนี้ การที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทให้ ห. และ ห.ทำสัญญาจะขายให้ ผ. กับ ผ. ทำสัญญาจะขายให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.2 และ จ.1ตามลำดับ เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้แล้วโดยถือว่าหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่ ห.ทำกับ ผ.และที่ ผ. ทำกับโจทก์ เป็นหนังสือที่ทำขึ้นในการแปลงหนี้ใหม่ดังกล่าว โจทก์เป็นเจ้าหนี้คนใหม่แล้ว และที่จำเลยทำหนังสือสัญญาเอกสารหมาย จ.4 ระบุว่าโจทก์ได้ชำระราคาแล้วแต่ไม่ได้ชำระ เพราะความจริงจำเลยได้รับชำระจาก ห. แล้วถือว่าเอกสารหมาย จ.4 เป็นความยินยอมที่ทำเป็นหนังสือในการแปลงหนี้ใหม่ จึงเกิดหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ และผลของการยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้อง
เดิมห.ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทจากจำเลย ตามเอกสารหมาย จ.3 ชำระราคาแล้ว ต่อมา ผ. ทำสัญญาจะซื้อขายต่อจากห. ชำระราคาแล้วตามเอกสารหมายจ.2 ต่อมาโจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายต่อจาก ผ. ได้ชำระราคาให้ ผ. แล้ว ตามเอกสารหมาย จ.1 ในที่สุดโจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายกันอีกตามเอกสารหมายจ.4 ระบุว่าจำเลยได้รับเงินถูกต้องแล้ว ต่อมาจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์ เช่นนี้ การที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทให้ ห.และห.ทำสัญญาจะขายให้ผ.กับผ. ทำสัญญาจะขายให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.2 และ จ.1ตามลำดับ เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้แล้วโดยถือว่าหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่ ห.ทำกับผ.และที่ ผ. ทำกับโจทก์ เป็นหนังสือที่ทำขึ้นในการแปลงหนี้ใหม่ดังกล่าว โจทก์เป็นเจ้าหนี้คนใหม่แล้ว และที่จำเลยทำหนังสือสัญญาเอกสารหมาย จ.4 ระบุว่าโจทก์ได้ชำระราคาแล้วแต่ไม่ได้ชำระ เพราะความจริงจำเลยได้รับชำระจาก ห. แล้ว ถือว่าเอกสารหมาย จ.4 เป็นความยินยอมที่ทำเป็นหนังสือในการแปลงหนี้ใหม่ จึงเกิดหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้บางส่วนและการค้ำจุนสนับสนุนหนี้เดิม ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่ และความรับผิดของบิดามารดาต่อการละเมิดของบุตร
การที่ผู้รับประกันภัยของจำเลยซึ่งมีหน้าที่รับผิดต่อโจทก์โดยตรงอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 รับรองต่อโจทก์ว่าจะใช้หนี้ให้บางส่วน และจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ในมูลหนี้ละเมิดก็ได้ทำการชำระหนี้เพียงบางส่วนแก่โจทก์เป็นเพียงการค้ำจุนสนับสนุนหนี้ในมูลละเมิดเดิมของโจทก์เท่านั้นไม่มีผลเป็นการระงับหนี้เดิมและก่อหนี้ใหม่อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่แต่อย่างใด
จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์อายุ 15 ปี นำรถยนต์ในบ้านออกมาขับขี่ไปไหนมาไหนได้โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาไม่ได้ควบคุมดูแลจำเลยที่ 1 ให้ดีจำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ดังกล่าวสักกี่ครั้งก็ไม่ได้สังเกตเช่นนี้ ถือว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถชนรถของโจทก์เสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดแก่โจทก์จำเลยที่ 2 ที่ 3 ย่อมต้องรับผิดด้วยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 867/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันและการชำระหนี้แทนการแปลงหนี้
จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้กับโจทก์ว่า หากเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 3 ยอมร่วมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ ต่อมาเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 3 ย่อมมีความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน การที่จำเลยที่ 1 และ ที่ 2 ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้เงินที่โจทก์เรียกเก็บไม่ได้ จึงเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้เป็นเงินหาใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ เมื่อเช็คฉบับใหม่ขึ้นเงินไม่ได้หนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดจึงยังไม่ระงับ จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 867/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกัน - การชำระหนี้ด้วยเช็คใหม่ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ - จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามสัญญา
จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้กับโจทก์ว่า หากเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยที่ 3 ยอมร่วมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ ต่อมาเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 3 ย่อมมีความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้เงินที่โจทก์เรียกเก็บไม่ได้ จึงเป็นชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระเป็นเงินหาใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ เมื่อเช็คฉบับใหม่ขึ้นเงินไม่ได้หนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดจึงยังไม่ระงับ จำเลยที่3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาโอนสิทธิการเช่า: การแปลงหนี้ด้วยวาจาไม่สมบูรณ์, การบอกเลิกสัญญา, และผลของการไม่ปฏิบัติตามกำหนดเวลาชำระหนี้
การที่จำเลยที่ 1 ตกลงให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่ผู้เช่าและรับโอนสิทธิการเช่าแทนโดยจำเลยที่ 1 จะชำระเงินและโอนสิทธิการเช่าคืนจากจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 เป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้เมื่อจำเลยที่ 2 ตกลงกับโจทก์ให้โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 โอนสิทธิการเช่าแก่โจทก์จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนทั้งตัวเจ้าหนี้และลูกหนี้ และเมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติเรื่องโอนสิทธิเรียกร้องดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 กับโจทก์ตกลงกันด้วยวาจาโดยมิได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่สมบูรณ์ไม่มีผลใช้บังคับ
เมื่อสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มิได้กำหนดวันชำระเงินและจำเลยที่ 2 บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระภายใน 3 วัน นับแต่วันรับหนังสือหากพ้นกำหนดจะถือเป็นการขอถอนคำมั่นนั้นเป็นการกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้และขอเลิกสัญญาเมื่อจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดสัญญาจึงเป็นอันเลิกกัน
สัญญาซึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 กับโจทก์ทั้งสองฝ่ายมีข้อความบ่งชัดว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่เพียงคำมั่น แต่การที่จำเลยที่ 1 บอกกล่าวกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระเงินโจทก์ไม่ชำระตามเวลากำหนดโจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยรับชำระเงินจากโจทก์แล้วโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ใหม่, สัญญาไม่สมบูรณ์, เลิกสัญญา, และสิทธิเรียกร้องที่บังคับใช้ไม่ได้
การที่จำเลยที่ 1 ตกลงให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่ผู้เช่าและรับโอนสิทธิการเช่าแทน โดยจำเลยที่ 1 จะชำระเงินและโอนสิทธิการเช่าคืนจากจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 เป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ตกลงกับโจทก์ให้โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 โอนสิทธิการเช่าแก่โจทก์จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนทั้งตัวเจ้าหนี้และลูกหนี้ และเมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติเรื่องโอนสิทธิเรียกร้องดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 กับโจทก์ตกลงกันด้วยวาจาโดยมิได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่สมบูรณ์ไม่มีผลใช้บังคับ
เมื่อสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มิได้กำหนดวันชำระเงินและจำเลยที่ 2 บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระภายใน 3 วัน นับแต่วันรับหนังสือ หากพ้นกำหนดจะถือเป็นการขอถอนคำมั่นนั้น เป็นการกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้และขอเลิกสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดสัญญาจึงเป็นอันเลิกกัน
สัญญาซึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1กับโจทก์ทั้งสองฝ่ายมีข้อความบ่งชัดว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่เพียงคำมั่น แต่การที่จำเลยที่ 1 บอกกล่าวกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระเงิน โจทก์ไม่ชำระตามเวลากำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยรับชำระเงินจากโจทก์แล้วโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์
of 41