พบผลลัพธ์ทั้งหมด 37 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2659/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์คดีแพ่ง-อาญา, ผู้เสียหาย, การผูกพันตามคำพิพากษา, และการพิจารณาพยานหลักฐานใหม่
กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลผู้ตายค่าปลงศพผู้ตายรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆและค่าขาดไร้อุปการะเนื่องจากเหตุที่ผู้ตายได้รับอันตรายแก่ร่างกายและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมานั้นเป็นปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ตายหรือไม่อันเป็นประเด็นในคดีอาญาที่พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(4),5(2)ในส่วนนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46แม้โจทก์จะมิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีอาญาด้วยโจทก์ก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญานั้น โจทก์ร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องของพนักงานอัยการที่ศาลอาญาสั่งยกคำร้องโดยพิจารณาตามคำฟ้องที่ได้บรรยายว่าผู้ตายได้กระทำผิดด้วยโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เป็นการวินิจฉัยว่ามีเหตุที่จะอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องนั้นได้หรือไม่มิใช่เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีที่จะถือเป็นยุติว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายดังนั้นในข้อหาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายอันเป็นประเด็นโดยตรงที่จำเลยถูกฟ้องยังต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายตามนัยบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้นการที่โจทก์มิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่เกิดผลที่จะให้ศาลในคดีส่วนแพ่งไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ส่วนในกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นเงิน20,113บาทกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางของโจทก์เพื่อติดต่อสอบถามดำเนินการอันเนื่องมาจากเหตุรถชนกันเป็นเงิน5,000บาทนั้นเป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทำละเมิดต่อตัวทรัพย์ของโจทก์หรือไม่ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา291ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยโดยเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับข้อหาที่จำเลยถูกฟ้องตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43,157ที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายดังนั้นในส่วนนี้โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจึงไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาแต่เป็นกรณีที่ต้องฟังข้อเท็จจริงกันใหม่จากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบกันมาในสำนวนคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสามารถในการต่อสู้คดีของผู้ป่วยทางจิตเวช และการลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย
แม้จำเลยจะมีอาการป่วยทางประสาทอย่างรุนแรง และได้เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้วเป็นเวลาหลายเดือน และหลังจากออกจากโรงพยาบาลจำเลยยังต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้านด้วยการสั่งซื้อยาจากโรงพยาบาลมารับประทานก็ตาม แต่เมื่อศาลได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆ จากจำเลยแล้ว ปรากฏว่าจำเลยสามารถพูดจาโต้ตอบได้ดี อีกทั้งในชั้นสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยยังได้เข้าเบิกความเป็นพยานโดยมิได้ปรากฏเหตุผิดปกติซึ่งส่อแสดงอาการวิกลจริตที่ไม่สามารถต่อสู้คดีได้แต่ประการใด จำเลยคงต่อสู้คดีจนจบกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลนิติจิตเวชก่อน จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว
ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยคือความผิดฐานชิงทรัพย์ รวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย
ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยคือความผิดฐานชิงทรัพย์ รวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยป่วยทางจิต แต่ยังสามารถต่อสู้คดีได้ ศาลลงโทษฐานทำร้ายร่างกายแทนชิงทรัพย์
แม้จำเลยจะมีอาการป่วยทางประสาทอย่างรุนแรง และได้เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้วเป็นเวลาหลายเดือน และหลังจากออกจากโรงพยาบาลจำเลยยังต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้านด้วยการสั่งซื้อยาจากโรงพยาบาลมารับประทานก็ตาม แต่เมื่อศาลได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆจากจำเลยแล้ว ปรากฏว่าจำเลยสามารถพูดจาโต้ตอบได้ดี อีกทั้งในชั้นสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยยังได้เข้าเบิกความเป็นพยานโดยมิได้ปรากฏเหตุผิดปกติซึ่งส่อแสดงอาการวิกลจริตที่ไม่สามารถต่อสู้คดีได้แต่ประการใด จำเลยคงต่อสู้คดีจนจบกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลนิติจิตเวชก่อน จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ความผิดที่โจทก์ ฟ้องจำเลยคือความผิดฐานชิงทรัพย์ รวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 496/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการกำหนดนัดพิจารณาคดีและการรับฟังความเห็นแพทย์เรื่องวิกลจริต
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อแพทย์ผู้รักษาอาการของจำเลยแถลงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้แล้ว จึงให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป โดยโจทก์มิได้ร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปนั้น เป็นอำนาจศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 35 ซึ่งบัญญัติให้อำนาจศาลที่จะกำหนดนั่งพิจารณาคดีที่ยื่นไว้ต่อศาลในวันที่ศาลเปิดทำการและเวลาทำงานได้และตาม ป.วิ.อ. มาตรา 15 ให้อำนาจศาลนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับได้ คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย
ความเห็นของแพทย์ทั้งหลายที่ตรวจอาการของจำเลยว่า จำเลยมีอาการทางจิตนั้น ต่างเป็นความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจอาการจำเลยระหว่างพิจารณาคดีนี้ทั้งสิ้น ไม่ปรากฎความเห็นของแพทย์ที่ตรวจอาการของจำเลยมาก่อนเกิดเหตุคดีนี้หรือระหว่างเกิดเหตุคดีนี้ ทั้งไม่ปรากฎประวัติการเป็นโรคจิตของจำเลยมาก่อนความเห็นของแพทย์ดังกล่าวไม่สามารถรับฟังเป็นยุติได้ว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยเป็นบุคคลวิกลจริตไม่รู้ผิดชอบ
ความเห็นของแพทย์ทั้งหลายที่ตรวจอาการของจำเลยว่า จำเลยมีอาการทางจิตนั้น ต่างเป็นความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจอาการจำเลยระหว่างพิจารณาคดีนี้ทั้งสิ้น ไม่ปรากฎความเห็นของแพทย์ที่ตรวจอาการของจำเลยมาก่อนเกิดเหตุคดีนี้หรือระหว่างเกิดเหตุคดีนี้ ทั้งไม่ปรากฎประวัติการเป็นโรคจิตของจำเลยมาก่อนความเห็นของแพทย์ดังกล่าวไม่สามารถรับฟังเป็นยุติได้ว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยเป็นบุคคลวิกลจริตไม่รู้ผิดชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 496/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดการพิจารณาคดีเพื่อรักษาพยาบาล และการพิสูจน์ภาวะวิกลจริตของผู้ต้องหา
ศาลชั้นต้นให้งดการพิจารณาคดี ส่งตัวจำเลยไปรักษาที่โรงพยาบาลจนกว่าอาการจะดีขึ้น โดยให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว เมื่อจำเลยสามารถต่อสู้คดีแล้วให้โจทก์ร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป ต่อมาศาลมีคำสั่งให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปเนื่องจากแพทย์แถลงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้แล้วคำสั่งดังกล่าวชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 35 ที่บัญญัติให้อำนาจศาลที่จะนั่งพิจารณาคดีในวันที่ศาลเปิดทำการและเวลาทำงานได้ ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 15ให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับได้ เมื่อไม่มีความเห็นของแพทย์ที่ตรวจอาการของจำเลยก่อนหรือระหว่างเกิดเหตุ ทั้งไม่ปรากฎประวัติการเป็นโรคจิตของจำเลยมาก่อนการที่แพทย์ตรวจอาการของจำเลยในระหว่างพิจารณาคดีแล้วมีความเห็นว่าจำเลยมีอาการทางจิตนั้น ยังไม่อาจรับฟังว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยเป็นบุคคลวิกลจริตไม่รู้สึกผิดชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 496/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการกำหนดนั่งพิจารณาคดี และการรับฟังอาการทางจิตของผู้ต้องหาเพื่อประกอบการพิจารณา
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อแพทย์ผู้รักษาอาการของจำเลยแถลงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้แล้ว จึงให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป โดยโจทก์มิได้ร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปนั้น เป็นอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 35 ซึ่งบัญญัติให้อำนาจศาลที่จะกำหนดนั่งพิจารณาคดีที่ยื่นไว้ต่อศาลในวันที่ศาลเปิดทำการและเวลาทำงานได้และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ให้อำนาจศาลนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับได้ คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย ความเห็นของแพทย์ทั้งหลายที่ตรวจอาการของจำเลยว่าจำเลยมีอาการทางจิตนั้น ต่างเป็นความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจอาการ จำเลยระหว่างพิจารณาคดีนี้ทั้งสิ้น ไม่ปรากฏความเห็นของแพทย์ที่ตรวจอาการของจำเลยมาก่อนเกิดเหตุคดีนี้หรือระหว่างเกิดเหตุคดีนี้ ทั้งไม่ปรากฏประวัติการเป็นโรคจิตของจำเลยมาก่อน ความเห็นของแพทย์ดังกล่าวไม่สามารถรับฟังเป็นยุติได้ว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยเป็นบุคคลวิกลจริตไม่รู้ผิดชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาของมารดาจำเลยและจำเลยผู้มีภาวะวิกลจริต การพิจารณาโทษที่เหมาะสม และการรอการลงโทษ
ผู้ร้องแม้จะเป็นมารดาจำเลยและจำเลยจะเป็นผู้วิกลจริตไม่สามารถต่อสู้คดีจริงหรือไม่ก็ตาม เมื่อผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความในคดี และมิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(1) หรือ (2)จึงไม่อาจยื่นฎีกาเข้ามาในคดีได้ ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา218 วรรคแรก แต่คดีที่คู่ความฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายนั้นหากศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างลงโทษจำเลยหนักเกินไปก็ย่อมมีอำนาจลงโทษให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ จำเลยกระทำผิดขณะมีอายุ 18 ปีเศษไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ทั้งผู้เสียหายแถลงไม่ติดใจดำเนินคดีจำเลย สมควรรอการลงโทษจำคุกหรือให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยวิกลจริตไม่สามารถต่อสู้คดีได้ กระบวนพิจารณาเดิมไม่ชอบ ศาลฎีกาสั่งดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและพิพากษาลงโทษจำเลยมาโดยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 เสียก่อน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2),225 ในอันที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาผู้มีภาวะวิกลจริต ศาลต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดก่อนพิพากษา
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและพิพากษาลงโทษจำเลยมาโดยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 เสียก่อนจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2),225 ในอันที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาแก่จำเลยวิกลจริต ศาลฎีกาสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและพิพากษาลงโทษจำเลยมาโดยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 เสียก่อนจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2), 225 ในอันที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป