คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1500 (3)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 23 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2550/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าเนื่องจากภริยาละทิ้งร้างสามีเกินหนึ่งปี
ภริยาทิ้งร้างสามีไปอยู่ที่อื่นเกิน 1 ปี สามีฟ้องหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 63/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องหย่า: เหตุต่อเนื่อง – การอยู่ร่วมกับภรรยาใหม่ยังไม่เริ่มนับอายุความ
การที่สามีนำหญิงอื่นเข้ามาอยู่ในบ้านและยังอยู่ร่วมกันตลอดมาถือว่าสามีทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรงจนภรรยาไม่อาจอยู่กินเป็นสามีภรรยากันต่อไปได้
การนับอายุความฟ้องร้องขอหย่าในกรณีเช่นนี้จะต้องนับตั้งแต่เมื่อการทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรงได้ยุติลงตราบใดที่เหตุการณ์ดังกล่าวยังคงมีอยู่ย่อมเป็นเหตุต่อเนื่องกันตลอดมาคดีไม่ขาดอายุความเพราะอายุความยังไม่เริ่มนับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2512/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การย้ายที่อยู่ของสามีและการเลี้ยงดูบุตร ไม่ถือเป็นการทิ้งร้าง หรือกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
การที่จำเลย(สามี) ต้องไปอยู่ต่างจังหวัดเพราะถูกทางราชการย้ายไป และโจทก์(ภรรยา) มิได้ตามไปอยู่ด้วยเพราะมีภาระที่จะต้องดูแลบุตร บ้าน และทำการค้าขาย จะถือว่าจำเลยจงใจจะทิ้งร้างโจทก์ไม่ได้ และแม้หากจะฟังว่าจำเลยไม่เสียกับหญิงอื่น และได้พาหญิงอื่นไปไหว้มารดาจำเลยซึ่งอยู่บ้านเดียวกันกับโจทก์ ก็ยังไม่เป็นพฤติการณ์เพียงพอที่จะถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุหย่า: การทำร้ายร่างกายเล็กน้อย, การหมิ่นประมาทด้วยคำพูด, และการพิสูจน์เหตุการณ์ในอดีต
ภรรยาเอาเล็บข่วนหน้าสามีเป็นรอยถูกข่วนเพียงเล็กน้อยเลือดออกซิบๆ เท่านั้น จะถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บจนเป็นเหตุหย่าตามนัยมาตรา 1500(2) ยังไม่ได้
สามีภรรยาเป็นชาวออสเตรเลีย สามีเป็นผู้จัดการบริษัท ภรรยาตามไปทวงกุญแจรถจากสามีในที่ทำงานของสามี สามีไม่ให้ภรรยาได้พูดกับผู้ช่วยจัดการ(ชาวออสเตรเลีย)ต่อหน้าสามีเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า 'คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด' คำว่าอ้ายหมู นี้หมายถึงโจทก์เป็นคำด่าและคำสบประมาทแม้จำเลยจะได้ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ก็เพราะโกรธโจทก์ที่ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500(2)
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการแต่มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง และไม่ได้กล่าวเลยว่าการกระทำอย่างไรบ้างที่โจทก์ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะนั้นทั้งยังสรุปไว้ท้ายฟ้องโดยกล่าวแต่เหตุหย่าประการอื่นด้วยดังนี้ ศาลย่อมไม่ยกเหตุหย่าเรื่องทำการเป็นปฏิปักษ์ฯการเป็นสามีภรรยาฯขึ้นวินิจฉัย (ไม่ว่าการกระทำตามที่บรรยายไว้นั้นจะพอให้ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯหรือไม่ก็ตาม)
โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้วต่อมาภายหลังยังข่วนหน้าโจทก์อีกการทำร้ายครั้งแรกนั้นล่วงเลยกำหนด 3 เดือนซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ และเมื่อการข่วนหน้าในครั้งหลังนี้ก็ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าได้แล้วแม้ศาลจะยกเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนตามมาตรา1509 วรรค2 ก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 458/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหย่าเนื่องจากสามีละทิ้งภรรยาและบุตร โดยไม่เลี้ยงดูและมีภรรยาใหม่
สามีไม่ทำมาหากินอย่างใด ภรรยาบอกให้ทำงานมาเลี้ยงครอบครัวก็โกรธและขนของออกจากบ้านไปได้หญิงอื่นเป็นภรรยาในเวลากระชั้นชิดไปแล้วก็ไม่ส่งเงินเลี้ยงดูภรรยากับบุตรเลย แสดงว่าสามีจงใจละทิ้งภรรยาภรรยาก็ไม่มีความจำเป็นต้องติดตามไปอยู่กับสามีสามีจะอ้างว่าตนเป็นฝ่ายมีสิทธิจะเลือกภูมิลำเนา ให้ภรรยามีหน้าที่ติดตามไปอยู่กับตนหาได้ไม่เมื่อสามีทิ้งร้างไปเกิน 1 ปี ภรรยาก็มีสิทธิขอหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 458/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละทิ้งครอบครัวเป็นเหตุหย่า: สามีมีหน้าที่เลี้ยงดูครอบครัว การทิ้งร้างถือเป็นการละทิ้ง
สามีไม่ทำมาหากินอย่างใด ภรรยาบอกให้ทำงานมาเลี้ยงครอบครัวก็โกรธ และขนของออกจากบ้านไปได้หญิงอื่นเป็นภรรยาในเวลากระชั้นชิด ไปแล้วไม่ส่งเงินเลี้ยงดูภรรยากับบุตรเลย แสดงว่าสามีจงใจละทิ้งภรรยา ภรรยาก็ไม่มีความจำเป็นต้องติดตามไปอยู่กับสามี สามีจะอ้างว่าตนเป็นฝ่ายมีสิทธิจะเลือกภูมิลำเนา ให้ภรรยามีหน้าที่ติดตามไปอยู่กับตนหาได้ไม่ เมื่อสามีทิ้งร้ายไปเกิน 1 ปี ภรรยาก็มีสิทธิขอหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าอ้างประพฤติชั่วร้าย: ศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานก่อนพิจารณา
สามีฟ้องหย่ากับภริยาโดยกล่าวในฟ้องว่าภริยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โดยภริยาสมคบกับพี่สาวลักเช็คของสามี เงิน 3,000 บาท ไป และภริยายักยอกหรือฉ้อโกงเงินราชการกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 42,500 บาท 75 สตางค์ จำเลยให้การปฏิเสธ เช่นนี้ เป็นการสมควรที่ศาลจะได้ฟังพยานหลักฐานของคู่ความเสียก่อนเพราะถ้าได้ความจริงตามฟ้อง ก็อาจถือได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) ได้
ฟ้องหย่าอ้างเหตุว่าภรรยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฟ้องในข้อต่อมากล่าวว่าจำเลยด่าท้าทายญาติพี่น้องตลอดถึงบุพการีของโจทก์เมื่ออ่านรวมกับฟ้องทั้งหมดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์อ้างเหตุนี้เป็นเพียงเหตุประกอบคำฟ้องของโจทก์ในตอนต้นๆ เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องตอนต้นนั้น เป็นการประพฤติชั่วถึงขีดร้ายแรงเท่านั้น แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวว่าด่าท้าทายว่าอย่างไร โจทก์ก็นำสืบได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 26/2503)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1307/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฟ้องหย่า: พิจารณาความสะดวกของคู่ความและพยานเป็นสำคัญ
โจทก์ซึ่งเป็นสามีจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ฟ้องขอหย่าขาดกับจำเลยต่อศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดพระนครในเขตศาลแพ่ง แต่มูลคดีอันเป็นเหตุขอหย่าตามที่โจทก์ฟ้องเกิดขึ้นในจังหวัดอุตรดิตถ์ ทั้งตัวโจทก์และพยานโจทก์มีภูมิลำเนาในจังหวัดอุตรดิตถ์ ถ้าดำเนินการพิจารณาในศาลจังหวัดอุตรดิตถ์จะเป็นการสดวกจึงขออนุญาตยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ เช่นนี้ บทกฎหมายอันว่าด้วยการฟ้องคดีแพ่งนั้นบัญญัติขึ้นเพื่อจะให้ความสดวกแก่การฟ้องร้องคดีการต่อสู้คดีและการพิจารณาคดีประกอบกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) จะเห็นได้ว่ากฎหมายให้พิจารณาถึงความสดวกเป็นสำคัญ จะว่าหากให้ฟ้องยังศาลจังหวัดอุตรดิตถ์จำเลยจะต้องลำบากในการไปจากจังหวัดพระนคร แต่การให้ไปฟ้องยังศาลในจังหวัดพระนครโจทก์ก็ต้องลำบากเช่นเดียวกัน ตามเหตุที่อ้างในคำร้องของโจทก์นั้น ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ก็เป็นศาลที่มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) และการให้ฟ้องยังศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ก็เป็นการสดวกแก่พยาน หากศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ยังไม่เป็นที่พอใจตามคำร้องของโจทก์หรือสงสัยประการใด ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์จะสอบถามหรือไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 ก่อนก็ได้
กรณีเช่นนี้ กล่าวทางแง่ของจำเลย หากศาลจังหวัดอุตรดิตถ์อนุญาตให้โจทก์ฟ้องที่ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ได้ ถ้าไม่มีเหตุสมควรที่จะทำการพิจารณาในศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ จำเลยก็ยังมีทางแก้ไข โดยยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 6 ขอโอนคดีไปยังศาลในจังหวัดพระนครได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1307/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฟ้องหย่า: ความสะดวกในการดำเนินคดีและภูมิลำเนาของคู่ความ
โจทก์ซึ่งเป็นสามีจำเลยมีภูมิสำเนาอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ฟ้องขอหย่าขาดกับจำเลยต่อศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดพระนครในเขตศาลแพ่ง แต่มูลคดีอันเป็นเหตุขอหย่าตามที่โจทก์ฟ้อง เกิดขึ้นในจังหวัดอุตรดิตถ์ ทั้งตัวโจทก์และพยานโจทก์มีภูมิลำเนาในจังหวัดอุตรดิตถ์ ถ้าดำเนินการพิจารณาในศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ จะเป็นการสดวกจึงขออนุญาตยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ เช่นนี้ บทกฎหมายอันว่าด้วยการฟ้องคดีแพ่งนั้น บัญญัติขึ้นเพื่อจะให้ความสดวกแก่การฟ้องร้องคดีการต่อสู้คดีและการพิจารณาคดีประกอบกัน ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) จะเห็นได้ว่า กฎหมายให้พิจารณาถึงความสดวกเป็นสำคัญ จะว่าหากให้ฟ้องยังศาลจังหวัดอุตรดิตถ์จำเลย จะต้องลำบากในการไปจากจังหวัดพระนคร แต่การให้ไปฟ้องยังศาลในจังหวัดพระนคร โจทก์ก็ต้องลำบากเช่นเดียวกันตามเหตุที่อ้างในคำร้องของโจทก์นั้น ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ ก็เป็นศาลที่มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) และการให้ฟ้องยังศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ก็เป็นการสดวกแก่พยาน หากศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ยังไม่เป็นที่พอใจตามคำร้องของโจทก์หรือสงสัยประการใด ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์จะสอบถามหรือไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 ก่อนก็ได้
กรณีเช่นนี้ กล่าวทางแง่ของจำเลย หากศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ อนุญาตให้โจทก์ฟ้องที่ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ได้ ถ้าไม่มีเหตุสมควรที่จะทำการพิจารณาในศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ ่จำเลยก็ยังมีทางแก้ไข โดยยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 6 ขอโอนคดีไปยังศาลในจังหวัดพระนครได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องหย่าขาดอายุความเมื่อใด? ศาลฎีกาชี้การทิ้งร้างยังไม่ขาดอายุความจนกว่าจะสิ้นสุด + ผลสัญญาประนีประนอม
เหตุหย่าในข้อจงใจละทิ้งร้างเกินกว่า 1 ปีนั้น ตราบใดที่ยังทิ้งร้างกันอยู่ ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขอหย่าได้ไม่ขาดอายุความ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทยเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และที่ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ในฟ้องไม่กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อใดทิ้งร้างไปเมื่อใด โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าเลย โจทก์ฟ้องคดีหลังกล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน และว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กล่าวฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่ากระทำการอย่างใดอันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างเช่นว่านี้
โจทก์ฟ้องขอหย่าอ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน แต่ปรากฏว่า เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์จะอ้างเหตุที่ว่านั้นมาเป็นข้อฟ้องหย่าหาได้ไม่ เพราะผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน
of 3