พบผลลัพธ์ทั้งหมด 548 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 826/2495
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การฟ้องเลิกห้างหุ้นส่วนและการกำหนดอำนาจศาล คดีเลิกหุ้นส่วนไม่จำต้องฟ้องทุกหุ้นส่วน ศาลมีอำนาจตามภูมิลำเนาของจำเลยบางส่วน
                        
                        การที่ผู้เป็นหุ้นส่วนฟ้องเลิกหุ้นส่วนนั้น  ไม่จำต้องฟ้องผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน  เพราะผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นอาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือจำเลยได้  ไม่มีทางเสียเปรียบหรือเสียหายแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนอื่น ทั้งไม่มีบทกฎหมายบัญญัติบังคับให้ต้องฟ้องผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนด้วย
การฟ้องขอเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนนั้น แม้ทรัพย์สินที่พิพาทจะอยู่ที่จังหวัดพังงา และจำเลยคนหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดภูเก็ต แต่เมื่อจำเลยอื่นมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดพระนครแล้ว ศาลก็ย่อมมีอำนาจที่จะใช้ดุลยพินิจอนุญาตให้โจทก์ฟ้องยังศาลในพระนครได้
                                    การฟ้องขอเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนนั้น แม้ทรัพย์สินที่พิพาทจะอยู่ที่จังหวัดพังงา และจำเลยคนหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดภูเก็ต แต่เมื่อจำเลยอื่นมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดพระนครแล้ว ศาลก็ย่อมมีอำนาจที่จะใช้ดุลยพินิจอนุญาตให้โจทก์ฟ้องยังศาลในพระนครได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 814/2495
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การครอบครองไม้สักแปรรูปเกินกำหนดโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 และไม้ดังกล่าวต้องถูกริบ
                        
                        มีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองเกินจำนวน 0.20 ลูกบาศก์เมตรโดยไม่ได้รับอนุญาต  เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ 2484ไม้สักของกลางจึงเป็นไม้ที่มีไว้เนื่องจากการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้  ฉะนั้นจึงต้องริบตาม มาตรา 74 (อ้างฎีกาที่ 550/2488)
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 814/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การครอบครองไม้สักแปรรูปเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ และไม้ดังกล่าวต้องถูกริบ
                        
                        มีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองเกินจำนวน  0.20 ลูกบาศก์  โดยไม่ได้รับอนุญาต  เป็นความผิดตาม  พ.ร.บ.ป่าไม้  2484  ไม้สักของกลางจึงเป็นไม้ที่มีไว้เนื่องจากการกระทำผิดต่อ พ.ร.บ.ป่าไม้  ฉะนั้นจึงต้องริบตามมาตรา  74
(อ้างฎีกาที่ 550/2488)
                                    (อ้างฎีกาที่ 550/2488)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2495
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ความชัดเจนของฟ้อง: แม้ไม่ได้ระบุที่ตั้งชัดเจน แต่หากข้อมูลปรากฏในคดีก่อนและจำเลยทราบ ฟ้องไม่เคลือบคลุม
                        
                        โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยมิได้กล่าวว่าที่พิพาทอยู่ที่ตำบลใด  ครั้นจำเลยให้การต่อสู้คดี ได้ให้การตัดฟ้องด้วยว่า  ฟ้องโจทก์มิได้กล่าวให้แจ้งชัดว่า ที่พิพาทอยู่ตำบลอำเภอใด เป็นฟ้องเคลือบคลุม  โจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องระบุว่าที่พิพาทอยู่ตำบลอำเภอและจังหวัดใดดังนี้ เมื่อปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ได้กล่าวไว้แล้วว่าที่พิพาท  โจทก์ได้มาตามสัญญายอมความ ในคดีแดงคดีหนึ่งของศาลนั้น  ซึ่งในคดีนั้นก็ปรากฏชัดว่าที่พิพาทแปลงนี้อยู่ที่ตำบลอำเภอจังหวัดใด  และจำเลยซึ่งเป็นบุตรจำเลยในคดีก่อน  ก็รู้ดีว่าที่ซึ่งโจทก์ฟ้อง อยู่ที่ตำบลใด ดังปรากฏตามคำให้การแล้ว  ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้ขอเพิ่มเติมฟ้อง ฟ้องของโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            แม้คำฟ้องไม่ระบุที่ตั้งชัดเจน แต่หากรายละเอียดในคำฟ้องและข้อเท็จจริงอื่นบ่งชี้ชัดเจน ศาลไม่ถือว่าฟ้องเคลือบคลุม
                        
                        โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์โดยมิได้กล่าวว่าที่พิพาทอยู่ที่ตำบลใด  ครั้นจำเลยให้การต่อสู้คดี  ได้ให้การตัดฟ้องด้วยว่า  ฟ้องโจทก์มิได้กล่าวให้แจ้งชัดว่า  ที่พิพาทอยู่ตำบลอำเภอใด  เป็นฟ้องเคลือบคลุม  โจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องว่าที่พิพาทอยู่  ตำบลอำเภอและจังหวัดใด  ดังนี้เมื่อปรากฎว่าฟ้องของโจทก์ได้กล่าวไว้แล้วว่าที่พิพาท  โจทก์ได้มาตามสัญญายอมความ  ในคดีหนึ่งของศาลนั้น  ซึ่งในคดีนั้นก็ปรากฎชัดว่า  ที่พิพาทแปลงนี้อยู่ที่ตำบลอำเภอจังหวัดใด  และจำเลยซึ่งเป็นบุตรจำเลยในคดีก่อน  ก็รู้ดีว่าที่ซึ่งโจทก์ฟ้อง  อยู่ที่ตำบลใด  ดังปรากฎตามคำให้การแล้ว  ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้ขอเพิ่มเติมฟ้อง  ฟ้องของโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การเปลี่ยนแปลงเจ้าหนี้จากการโอนโรงเรียน: สัญญาค้ำประกันมีผลผูกพันเฉพาะเจ้าของโรงเรียนเดิม
                        
                        จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่กระทรวงศีกษาธิการ  ยอมรับผิดใช้เงินจำนวนหนึ่ง  ถ้าสมุหบัญชีในโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวชทุจริตต่อหน้าที่  ครั้นต่อมาได้มีหระราชบัญญัติครู  ตั้งคุรุสภาขึ้นเป็นนิติบุคคล  และคณะรัฐมนตรี  ให้โอนโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวชมาขึ้นแก่คุรุสภา  ในตอนหลังนี้  สมุหบัญชีผู้นั้นได้ทุจริตยักยอกเงินในหน้าที่ขึ้น ดังนี้  กระทรวงศึกษาธิการย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นโจทก์ฟ้องร้องบังคับให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2495
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การเปลี่ยนแปลงหน่วยงานคู่สัญญาและการรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
                        
                        จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่กระทรวงศึกษาธิการ ยอมรับผิดใช้เงินจำนวนหนึ่ง ถ้าสมุหบัญชีในโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวชทุจริตต่อหน้าที่ ครั้นต่อมาได้มีพระราชบัญญัติครู ตั้งคุรุสภาขึ้นเป็นนิติบุคคลและคณะรัฐมนตรีให้โอนโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวชมาขึ้นแก่คุรุสภา และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพิมพ์คุรุสภา ในตอนหลังนี้ สมุหบัญชีผู้นั้นได้ทุจริตยักยอกเงินในหน้าที่ขึ้น ดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นโจทก์ฟ้องร้องบังคับให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            สิทธิบุริมสิทธิของผู้รับจำนองในคดีล้มละลาย: การคิดดอกเบี้ยจนถึงวันขายทอดตลาด
                        
                        เมื่อจำเลยต้องคำพิพากษาให้ล้มลัลาย  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกผู้รับจำนองที่ดินของจำเลย  ไปชี้แจ้งเกี่ยวแก่การรับจำนอง  ผู้รับจำนองแถลงขอรับต้นเงินและดอกเบี้ยเต็มตามสัญญาจำนองเท่านั้น  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงให้โจทก์นำยึดที่แปลงนั้นขายทอดตลาด  โดยกำหนดราคาคั่นต่ำเท่าต้นเงินและดอกเบี้ย  ถึงวันขายทอดตลาด การขายได้เงินท่วมต้นเงินและดอกเบี้ย  เช่นนี้  จะยกมาตรา  100  แห่ง  พ.ร.บ.ล้มละลาย ซึ่งบัญญัติว่า  "ดอกเบี้ยหรือเงินค่าป่วยการออื่นแทนดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้น ไม่ให้ถือว่าเป็นหนี้ที่จะขอรับชำระได้"  มาปรับมิได้  เพราะมิใช่เป็นเรื่องที่ผู้รับจำนองขอรับชำระหนี้  หากเป็นเรื่องที่ผู้รับจำนองขอเอาบุริมสิทธิในทรัพย์ที่รับจำนองไว้ไม่เกินกว่าหนี้ที่รับจำนองเท่านั้น  ถ้าขายไม่ได้ถึงราคาทรัพย์จำนอง  ก็ตกเป็นพับแก่ผู้รับจำนองไป  ฉะนั้นต้องคิดดอกเบี้ยให้ผู้รับจำนองจนกึงวันขายทอดตลาด
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2495
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การบังคับชำระหนี้จำนองหลังล้มละลาย: ดอกเบี้ยจนถึงวันขายทอดตลาด
                        
                        เมื่อจำเลยต้องคำพิพากษาให้ล้มละลายเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกผู้รับจำนองที่ดินของจำเลย ไปชี้แจงเกี่ยวกับการรับจำนอง ผู้รับจำนองแถลงขอรับต้นเงินและดอกเบี้ยเต็มตามสัญญาจำนองเท่านั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงให้โจทก์นำยึดที่แปลงนั้นขายทอดตลาดโดยกำหนดราคาขั้นต่ำเท่าต้นเงินและดอกเบี้ย ถึงวันขายทอดตลาดการขายได้เงินท่วมต้นเงินและดอกเบี้ยเช่นนี้ จะยกมาตรา 100 แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลายซึ่งบัญญัติว่า 'ดอกเบี้ยหรือเงินค่าป่วยการอื่นแทนดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้น ไม่ให้ถือว่าเป็นหนี้ที่จะขอรับชำระได้' มาปรับมิได้ เพราะมิใช่เป็นเรื่องที่ผู้รับจำนองขอรับชำระหนี้หากเป็นเรื่องที่ผู้รับจำนองขอเอาบุริมสิทธิในทรัพย์ที่รับจำนองไว้ไม่เกินกว่าหนี้ที่รับจำนองเท่านั้น ถ้าขายไม่ได้ถึงราคาทรัพย์จำนองก็ตกเป็นพับแก่ผู้รับจำนองไปฉะนั้นต้องคิดดอกเบี้ยให้ผู้รับจำนองจนถึงวันขายทอดตลาด
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2495
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การเช่าตึกเพื่อใช้ประกอบธุรกิจซักรีด ไม่ถือเป็น 'เคหะ' ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
                        
                        เช่าตึกเพื่อใช้เป็นสถานที่รับจ้างซักรีดผ้า ติดป้ายโฆษณาและตั้งตู้แสดงกิจการซักรีดตำบลซึ่งตึกเช่าตั้งอยู่ ก็อยู่ในทำเลการค้าวัตถุประสงค์แห่งการเช่า ไม่ปรากฏว่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ดังนี้ จะถือว่าตึกเช่านั้นเป็น 'เคหะ' ตามความหมายของ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2490 มาตรา 3 ไม่ได้ จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 16