พบผลลัพธ์ทั้งหมด 548 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ในเคหะสถาน แม้ผู้เฝ้าบ้านชวนลักทรัพย์ แต่หากมิได้รับอนุญาตเข้าห้องเก็บทรัพย์ ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหะสถาน
เจ้าทรัพย์ให้จำเลยเฝ้าบ้านแต่ห้องเก็บทรัพย์เจ้าทรัพย์ใส่กุญแจไว้ จำเลยชวนผู้อื่นมาทำการลักทรัพย์โดยใช้เชือกคล้องถอดหน้าต่างให้เปิดออก แล้วปีนป่ายเขาทางช่องหน้าต่าง ซึ่งมิใช่ช่องทางสำหรับให้คนไปมา และลักทรัพย์ในห้องเก็บทรัพย์ ดังนี้ ถือได้ว่ เจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไปในห้องเก็บทรัพย์ ซึ่งจำเลยสมคบกันเข้าไปทำการลักจำเลยจึงย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหะสถานตามมาตรา 255(1) ด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในเคหะสถานตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 294 (1) แม้จะมิได้บรรยายคำว่า "เจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้เข้าไป" ไว้ด้วยก็ดี แต่เมื่ออ่านข้อความตามฟ้องประกอบกันทั้งหมดแล้ว ก็พอเข้าใจได้ว่าห้องเรือนอันเป็นทีอยู่อาศัย (เคหะสถาน)ของเจ้าทรัพย์ ซึ่งจำเลยสมคบกันเข้าไปทำการลักทรัพย์ เจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไปได้ ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158 แล้ว
ฟ้องของโจทก์กล่าวในครั้งแรกว่า จำเลยบังอาจเข้าไปโดยใช้เชือก คล้อง(ถอด) กลอนหน้าต่างให้เปิดออก แล้วปีนป่ายเข้าไปในทางช่องหน้าต่างอันมิใช่ช่องทางสำหรับคนไปมา และในครั้งหลังต่อต่อมาก็ว่า บังอาจเข้าไปในห้องเก็บทรัพย์นี้ โดยปีนป่ายเข้าไปทางช่องหน้าต่าง อันมิใช่างสำหรับให้คนไปมาเช่นกัน ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่า ถ้าเป็นการเข้าไปโดยได้รับอนุญาต ก็คงไม่ต้องบังอาจปีนป่ายเข้าทางช่องทางหน้าต่างเช่นนั้น จึงพอเข้าใจได้ว่าเป็นการเข้าไปในโดยมิได้รับอนุญาต ฟ้องจึงสมบูรณ์พอเพียงตามความประสงค์ของป.ม.วิ.อาญามาตรา 158 แล้วว่า ฟ้องโจทก์หาว่า จำเลยสมคบกันลักทรัพย์ในเคหะสถานตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 294(1)
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2495
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในเคหะสถานตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 294 (1) แม้จะมิได้บรรยายคำว่า "เจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้เข้าไป" ไว้ด้วยก็ดี แต่เมื่ออ่านข้อความตามฟ้องประกอบกันทั้งหมดแล้ว ก็พอเข้าใจได้ว่าห้องเรือนอันเป็นทีอยู่อาศัย (เคหะสถาน)ของเจ้าทรัพย์ ซึ่งจำเลยสมคบกันเข้าไปทำการลักทรัพย์ เจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไปได้ ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158 แล้ว
ฟ้องของโจทก์กล่าวในครั้งแรกว่า จำเลยบังอาจเข้าไปโดยใช้เชือก คล้อง(ถอด) กลอนหน้าต่างให้เปิดออก แล้วปีนป่ายเข้าไปในทางช่องหน้าต่างอันมิใช่ช่องทางสำหรับคนไปมา และในครั้งหลังต่อต่อมาก็ว่า บังอาจเข้าไปในห้องเก็บทรัพย์นี้ โดยปีนป่ายเข้าไปทางช่องหน้าต่าง อันมิใช่างสำหรับให้คนไปมาเช่นกัน ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่า ถ้าเป็นการเข้าไปโดยได้รับอนุญาต ก็คงไม่ต้องบังอาจปีนป่ายเข้าทางช่องทางหน้าต่างเช่นนั้น จึงพอเข้าใจได้ว่าเป็นการเข้าไปในโดยมิได้รับอนุญาต ฟ้องจึงสมบูรณ์พอเพียงตามความประสงค์ของป.ม.วิ.อาญามาตรา 158 แล้วว่า ฟ้องโจทก์หาว่า จำเลยสมคบกันลักทรัพย์ในเคหะสถานตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 294(1)
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2495
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ในเคหะสถานโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ไม่ได้ระบุในฟ้อง ก็ถือเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ได้
เจ้าทรัพย์ให้จำเลยเฝ้าบ้านแต่ห้องเก็บทรัพย์เจ้าทรัพย์ใส่กุญแจไว้จำเลยชวนผู้อื่นมาทำการลักทรัพย์โดยใช้เชือกคล้องถอดกลอนหน้าต่างให้เปิดออกแล้วปีนป่ายเข้าทางช่องหน้าต่าง ซึ่งมิใช่ช่องทางสำหรับให้คนไปมา และลักทรัพย์ในห้องเก็บทรัพย์ไป ดังนี้ถือได้ว่า เจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไปในห้องเก็บทรัพย์ ซึ่งจำเลยสมคบกันเข้าไปทำการลัก จำเลยจึงย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหะสถานตามมาตรา 295(1) ด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในเคหะสถานตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 294(1) แม้จะมิได้บรรยายคำว่า'เจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้เข้าไป' ไว้ด้วยก็ดี แต่เมื่ออ่านข้อความตามฟ้องประกอบกันทั้งหมดแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้ว่าห้องเรือนอันเป็นที่อยู่อาศัย (เคหสถาน) ของเจ้าทรัพย์ ซึ่งจำเลยสมคบกันเข้าไปทำการลักทรัพย์เจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไปได้ ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในเคหะสถานตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 294(1) แม้จะมิได้บรรยายคำว่า'เจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้เข้าไป' ไว้ด้วยก็ดี แต่เมื่ออ่านข้อความตามฟ้องประกอบกันทั้งหมดแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้ว่าห้องเรือนอันเป็นที่อยู่อาศัย (เคหสถาน) ของเจ้าทรัพย์ ซึ่งจำเลยสมคบกันเข้าไปทำการลักทรัพย์เจ้าทรัพย์มิได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไปได้ ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 346/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแก้ไขหน้าที่นำสืบ และผลของการไม่โต้แย้งคำสั่ง
คำสั่งศาลที่สั่งในเรื่องหน้าที่นำสืบนั้น เมื่อสั่งให้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนแล้วก็ดี ภายหลังก็ย่อมมีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงได้เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามไว้ และเมื่อศาลสั่งแก้แล้ว คู่ความมิได้โต้แย้งไว้ก็ย่อมอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 346/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสั่งเปลี่ยนแปลงหน้าที่นำสืบ และอำนาจฟ้องของผู้เช่า
คำสั่งศาลที่สั่งในเรื่องหน้าที่นำสืบนั้น เมื่อสั่งให้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนแล้วก็ดี ภายหลังก็ย่อมมีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงได้เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามไว้และเมื่อศาลสั่งแก้แล้ว คู่ความมิได้โต้แย้งไว้ ก็ย่อมอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจดูแลทรัพย์สินโดยปริยาย การเช่าได้รับความคุ้มครอง
เจ้าของบ้านไม่อยู่ไปต่างประเทศเสียได้มอบบ้านให้ภรรยาดูแลแทนแม้ภรรยานั้นจะไม่ใช่ภรรยาเจ้าของบ้านตามกฎหมายก็ตามเมื่อภรรยานั้นให้คนเช่าบ้านนั้นเช่าอยู่อาศัย ผู้เช่านั้นก็ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯลฯ เพราะถือได้ว่าเป็นการตั้งภรรยาเป็นตัวแทนด้วยการแสดงออก จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าบ้านผ่านตัวแทนที่แต่งตั้งโดยการแสดงออก แม้ไม่มีหนังสือก็ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
เจ้าของบ้านไม่อยู่ ไปต่างประเทศเสีย ได้มอบบ้านให้ภรรยาดูแลแทน แม้ภรรยานั้นจะไม่ใช่ภรรยาเจ้าของบ้านตามกฎหมายก็ตาม เมื่อภรรยานั้นให้คนเช่าบ้านนั้นแยู่อาศัย ผู้เช่านั้นก็ย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ เพราะถือได้ว่าเป็นการตั้งภรรยาเป็นตัวแทนด้วยการแสดงออก จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้เช่าช่วงไม่ยินยอมตามคำพิพากษา: ความรับผิดชอบเฉพาะตัวและขอบเขตการบังคับ
ศาลพิพากษาให้ผู้เช่าที่ดินและบริวารออกจากที่ดินที่เช่าและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวไปให้เสร็จภายในกำหนดเวลา ดังนี้ เมื่อตัวผู้เช่าที่ดินได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของผู้เช่าเองออกไปหมดแล้ว แต่ผู้เช่าช่วงที่ดินรายนี้ ซึ่งการเช่าช่วงไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินจึงตกเป็นบริวารของผู้เช่าด้วยนั้น ไม่ยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างของผู้เช่าช่วงออกไป เช่นนี้โจทก์ควรขอให้ศาลหมายเรียกผู้เช่าช่วงนั้น มาจัดการว่ากล่าวบังคับให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวผู้เช่าช่วง ไม่ใช่เรื่องที่ผู้เช่าขัดขืนไม่ทำตามคำบังคับของศาล ฉะนั้นจะถือว่าผู้เช่าฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาต่อบริวารของผู้เช่าช่วงที่ไม่ยินยอม เจ้าของที่ดินต้องฟ้องบังคับบริวารโดยตรง
ศาลพิพากษาให้ผูเช่าที่ดินและบริวารออกจากที่ดินที่เช่าและให้รื่อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวไปให้เสร็จภายในกำหนดเวลา ดังนี้ เมื่อตัวผู้เช่าที่ดินได้รื้อถอนิสิ่งปลูกสร้างของผู้เช่าเองออกไปหมดแล้ว แต่ผู้เช่าช่วงที่ดินรายนี้ ซึ่งการเช่าช่วงไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดิน จึงตกเป็นบริวารของผู้เช่าด้วยนั้น ไม่ยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างของผู้เช่าช่วงออกไป เช่นนี้ โจทก์ควรขอให้ศาลหมายเรียกผู้เช่าช่วงนั้น มาจัดการว่ากล่าวบังคับให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวผู้เช่าช่วง ไม่ใช่เรื่องที่ผุ้เช่าขัดขืนไม่ทำตามคำบังคับของศาล ฉะนั้นจะถือว่า ผู้เช่าฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินโดยรู้อยู่ว่ามีผู้อื่นครอบครอง ย่อมไม่เป็นการซื้อโดยสุจริต
ซื้อที่ดินมีโฉนดมา 1 แปลงแต่ปรากฏว่า เมื่อผู้ซื้อไปดูที่ดินที่จะซื้อก็เห็นจำเลยอยู่ในที่รายนี้โดยมีบ้านเรือนปลูกอยู่ มีกอไผ่ล้อมรั้วอยู่ในที่ดินส่วนหนึ่งก่อนแล้วผู้ซื้อก็มิได้ซักถามจำเลยหรือแม้แต่ตัวผู้ขายว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทได้ด้วยเหตุใด การที่ผู้ซื้อซื้อไว้ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าจำเลยได้ใช้สิทธิครอบครองที่รายพิพาทอยู่เช่นนี้ เท่ากับเป็นการซื้อคดีมาฟ้องร้อง เรียกไม่ได้ว่า ซื้อโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินโดยรู้อยู่ว่ามีผู้ครอบครองยึดถืออยู่ ไม่ถือเป็นการซื้อโดยสุจริต
ซื้อที่ดินมีโฉนดมา 1 แปลงแต่ปรากฎว่า เมื่อผู้ซื้อไปดูที่ดินที่จะซื้อ ก็เห็นว่าจำเลยอยู่ในที่รายนี้โดยมีบ้านเรือนปลูกอยู่ มีกอไผ่ล้อมรั้วอยู่ในที่ดินส่วนหนึ่งก่อนแล้ว ผู้ซื้อก็มิได้ซักถามจำเลยหรือแม้แต่ตัวผู้ขายว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทได้ด้วยเหตุใด การที่ผู้ซื้อ ซึ้อไว้ทั้ง ๆที่รู้อยู่ว่าจำเลยได้ใช้สิทธิครอบครองที่รายพิพาทแยู่เช่นนี้ เท่ากับเป็นการซื้อโดยสุจริต