คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
กฎหมายลักษณะอาญา ม. 299

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 41 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1211/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแยกความผิดฐานชิงทรัพย์และลักทรัพย์เมื่อมีการทำร้ายร่างกายระหว่างหลบหนี
คนร้าย 2 คนสมคบกันไปลักทรัพย์เขา เมื่อลักได้แล้วพาทรัพย์หนี คนหนึ่งพาทรัพย์ออกพ้นจากบ้านเจ้าทรัพย์ ไปแล้ว อีกคนหนึ่งถูกพวกเจ้าทรัพย์สกัดหน้าไว้ในบริเวณบ้าน คนร้ายคนที่ถูกสกัดหน้า จึงทำร้ายคนที่สกัดหน้า มีบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ แสดงว่ากระทำร้ายเพื่อจะหลบหนี อันนับได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อตัวคนร้ายคนนั้นเองโดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับการสมคบกันมาลักทรัพย์แต่แรก คนร้ายคนที่ทำร้าย จึงมีผิดฐานชิงทรัพย์แต่ผู้เดียว ส่วนคนร้ายคนที่พาทรัพย์พ้นบ้านไปแล้วนั้นคงมีผิดเพียงฐานลักทรัพย์เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องไม่สมบูรณ์ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ เนื่องจากไม่ระบุตัวผู้ร่วมกระทำความผิดชัดเจน แม้พยานหลักฐานแสดงว่ามีการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า จำเลย(คนเดียว)กับพวกที่ยังหลบหนีจับตัวยังไม่ได้ สมคบกันปล้นทรัพย์ผู้มีชื่อไป ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ ดังนี้รู้ไม่ได้ว่าพวกของจำเลยที่โจทก์กล่าวจะมีจำนวนคนเดียวหรือหลายคน ถือว่าโจทก์ไม่กล่าวถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ฟ้องจึงฟังให้สมบูรณ์ในฐานความผิดปล้นทรัพย์ไม่ได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158(5) ฉะนั้นแม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยกับพวกรวม 5 คนทำการปล้นทรัพย์ ศาลก็จะลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ไม่ได้ลงลงโทษได้แต่เพียงฐานชิงทรัพย์เท่านั้น
ฟ้องโจทก์กล่าวว่า จำเลยกับพวกมีมีดเป็นสาตราวุธทำการปล้นทรัพย์ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกับพวกมีมีดและปืนสั้นด้วย ย่อมถือว่าไม่ใช่ข้อสำคัญเพราะทางพิจารณาก็ได้ความว่าจำเลยกับพวกมีมีดสมตามฟ้องแล้ว จะถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้องยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความไม่สมบูรณ์ของฟ้องฐานปล้นทรัพย์: จำเลยไม่ทราบจำนวนพวกที่ร่วมกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า จำเลย(คนเดียว)กับพวกที่ยังหลบหนีจับตัวยังไม่ได้ สมคบกันปล้นทรัพย์ผู้มีชื่อไป ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ ดังนี้ รู้ไม่ได้ว่าพวกของจำเลยที่โจทก์กล่าวจะมีจำนวนคนเดียวหรือหลายคน ถือว่า โจทก์ไม่กล่าวถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ฟ้องจึงฟังให้สมบูรณ์ในฐานความผิดปล้นทรัพย์ไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ฉะนั้นแม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยกับพวกรวม 5 คนทำการปล้นทรัพย์ ศาลก็จะลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษได้แต่เพียงฐานชิงทรัพย์เท่านั้น
ฟ้องโจทก์กล่าวว่า จำเลยกับพวกมีมีดเป็นศาตราวุธทำการปล้นทรัพย์ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกับพวกมีมีดและปืนสั้นด้วย ย่อมถือว่าไม่ใช่ข้อสำคัญเพราะทางพิจารณาก็ได้ความว่าจำเลยกับพวกมีมีดสมตามฟ้องแล้ว จะถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้องยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1311/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาว่าไฟฉายถือเป็นอาวุธในความผิดฐานปล้นทรัพย์หรือไม่ ศาลพิจารณาจากลักษณะของวัตถุ
ไฟฉายชนิดถือเดินทางจะเป็นอาวุธหรือไม่ ย่อมแล้วแต่ลักษณะว่าจะเป็นเครื่องประหารตามความในมาตรา 6 ข้อ 15 แห่ง ก.ม.ลักษณะอาญาหรือไม่
คนร้าย 3 คนขึ้นไปทำการชิงทรัพย์บนเรือนผู้เสียหายปรากฎว่าผู้ร้ายไม่มีอาวุธอย่างใดนอกจากไฟฉายสำหรับถือเดินทางเมื่อไม่ปรากฎว่าไฟฉายนั้นใหญ่และยาวเท่าใด ก็จะอนุมานเอาว่าเป็นเครื่องประหารอันสามารถจะใช้กระทำแก่ร่างกายให้แตกหักบุบสลายได้ถึงสาหัสเช่นตระบอง หาได้ไม่ ไฟฉายนั้นจึงไม่ใช่สาสตราวุธ คนร้ายนั้นจึงมีความผิดเพียงฐานชิงทรัพย์ ไม่ใช่ปล้นทรัพย์
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาและเพิ่งโต้แย้งในชั้นฎีกาว่าความผิดฐานปล้นทรัพย์จะต้องประกอบด้วยการมีสาสตราวุธ ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยให้ได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนว่าจำเลยจะมีความผิดดั่งข้อที่โจทก์กล่าวหาหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1311/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาว่าไฟฉายถือเป็นอาวุธในความผิดฐานปล้นทรัพย์หรือไม่ ศาลพิจารณาจากลักษณะของวัตถุ
ไฟฉายชนิดถือเดินทางจะเป็นอาวุธหรือไม่ ย่อมแล้วแต่ลักษณะว่า จะเป็นเครื่องประหารตามความในมาตรา 6 ข้อ15แห่ง กฎหมายลักษณะอาญาหรือไม่
คนร้าย 3 คนขึ้นไปทำการชิงทรัพย์บนเรือนผู้เสียหาย ปรากฏว่าผู้ร้ายไม่มีอาวุธอย่างใดนอกจากไฟฉายสำหรับถือเดินทาง เมื่อไม่ปรากฏว่าไฟฉายนั้นใหญ่และยาวเท่าใดก็จะอนุมานเอาว่าเป็นเครื่องประหารอันสามารถจะใช้กระทำแก่ร่างกายให้แตกหักบุบสลายได้ถึงสาหัสเช่นตระบอง หาได้ไม่ไฟฉายนั้นจึงไม่ใช่ศาตราวุธ คนร้ายนั้นจึงมีความผิดเพียงฐานชิงทรัพย์ไม่ใช่ปล้นทรัพย์
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา และเพิ่งโต้แย้งในชั้นฎีกาว่า ความผิดฐานปล้นทรัพย์จะต้องประกอบด้วยการมีศาตราวุธ ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยให้ได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนว่า จำเลยจะมีความผิดดังข้อที่โจทก์กล่าวหาหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2111/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์ที่ยังไม่สำเร็จ เพราะสายพานยังไม่เคลื่อนหลุดจากที่เดิม
สายพานที่จำเลยลักและกำลังม้วนอยู่นั้น เพียงแต่หลุดจากมู่เล่อันบนและอันล่าง.ที่สายพานเชื่อมกันอยู่แต่สายพานยังคงพาดอยู่กับเพลาและสลักต่อสายพานถูกชักออกแล้ว จำเลยม้วนสายพานได้ 1 ใน 10 ของความยาว และคงอยู่ข้างมู่เล่นั้นเอง ดังนี้ ถือว่าการลักทรัพย์ยังไม่สำเร็จเพราะสายพานยังมิได้เคลื่อนหลุดไปจากที่ คงผิดเพียงฐานพยายาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขู่เอาทรัพย์จากประชาชน ความผิดตามมาตรา 136
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่กำลังรักษาการณ์ในหน้าที่สวมเครื่องแบบและมีอาวุธปืน จำเลยได้จับเจ้าทรัพย์ในลักษณะที่เป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ แล้วจำเลยบังคับให้เจ้าทรัพย์ให้ของกลางแก่จำเลย ก็เรียกได้ว่ามันบังคับให้เขาให้ทรัพย์อันมิควรจะได้ตามกฎหมายแก่ตัวมัน ต้องด้วยข้อบัญญัติตามมาตรา 136 กฎหมายลักษณะอาญา แต่เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ จึงกลายเป็นความผิดหลายบท แต่ความผิดตามมาตรา 136 มีอัตราโทษหนักกว่า จึงให้วางโทษตามมาตรา 136

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2491

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชิงทรัพย์ด้วยการขู่เข็ญด้วยอาวุธ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
จำเลยลักทรัพย์ไป เจ้าทรัพย์จับข้อมือจำเลย จำเลยชักมีดออกขู่จะแทง และรีบวิ่งหนีไปนั้น คดีเข้าลักษณะชิงทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2491

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้คำให้การชั้นสอบสวนที่ไม่สามารถซักค้านได้เป็นหลักฐานลงโทษจำเลยไม่ได้
โจทก์มีเจ้าของทรัพย์คนเดียวที่รู้เห็นว่า ใครเป็นคนร้ายชิงทรัพย์แต่โจทก์อ้างมาสืบไม่ได้ จะใช้คำให้การชั้นสอบสวนมาฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะจำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2490

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ไม้ตะพดข่มขู่เพื่อชิงทรัพย์: ไม้ตะพดต้องมีขนาดที่สามารถทำให้ร่างกายสาหัสจึงจะเป็นศาสตราวุธ
ไม้ตะพดจะเป็นศาสตราวุธตามกฎหมายหรือไม่ ต้องแล้วแต่ขนาดซึ่งสามารถจะทำให้ร่างกายแตกหักบุบสลายถึงสาหัสได้หรือไม่ ถ้าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า มีขนาดอย่างไร ก็ฟังว่าเป็นศาสตราวุธไม่ได้
of 5