คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
กฎหมายลักษณะอาญา ม. 276

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 26 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดอาญา การใช้กฎหมายที่ใช้บังคับในขณะกระทำผิด และการแก้ฟ้อง
การบรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำนั้น หาต้องใช้ถ้อยคำในกฎหมายไม่จะบรรยายถ้อยคำอย่างใดพอให้เข้าใจได้ว่าจำเลยได้กระทำการที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดก็ใช้ได้
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อ พ.ศ.2498 ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญาซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลากระทำผิดถึงพ.ศ.2500 ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับแล้วและยกเลิกกฎหมายลักษณะอาญาโจทก์จึงขอแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญาดังนี้เป็นเรื่องโจทก์เข้าใจผิดคิดว่ากฎหมายเปลี่ยนใหม่ก็ต้องลงตามกฎหมายใหม่ แต่ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไปไม่เพราะมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 บัญญัติว่าในกรณีเช่นนี้ให้ใช้กฎหมายส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดทางอาญา การใช้กฎหมายที่ใช้บังคับขณะกระทำผิด และการแก้ฟ้อง
การบรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำนั้น หาต้องใช้ถ้อยคำในกฎหมายไม่ จะบรรยายถ้อยคำอย่างใดพอให้เข้าใจได้ว่า จำเลยได้กระทำการที่กฎหมายบัญญัติว่า เป็นความผิดก็ใช้ได้
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อ พ.ศ. 2498 ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลากระทำผิด ถึงพ.ศ. 2500 ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับแล้วและยกเลิกกฎหมายลักษณะอาญา โจทก์จึงขอแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญาดังนี้ เป็นเรื่องโจกท์เข้าใจผิดคิดว่ากฎหมายเปลี่ยนใหม่ก็ต้องลงตามกฎหมายใหม่ แต่ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไปไม่ เพราะมีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่าในกรณีเช่นนี้ให้ใช้กฎหมายส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉุดคร่า: การลากผู้เสียหายเป็นระยะทางพอสมควร ถือเป็นความผิดสำเร็จ แม้จะมีผู้เข้าช่วยเหลือ
ผู้เสียหายกับปู่แม่และน้าสาวนั่งดูเขาเล่นตรุษกันที่ปากตรอกบ้านจำเลยกับพวกเข้ามาที่ตัวผู้เสียหาย จำเลยคว้าแขนผู้เสียหายซึ่งนั่งอยู่ดึงลากไปเลยถูกไถลากไปกับพื้นดิน พวกจำเลยเข้ากั้นไม่ให้แม่และน้าสาวช่วยแม่ผู้เสียหายเข้ากอดตัวผู้เสียหายไว้และต่างร้องเอะอะกันขึ้น จำเลยปล่อยผู้เสียหายแล้วยังกลับมาลากอีก แม่ผู้เสียหายก็เข้ากอดไว้จนผู้เสียหายหลุดจากมือจำเลยจำเลยฉุดผู้เสียหายไถดินไปสัก 2 วา แล้วผู้เสียหายกับพวกก็พากันหนีไปเข้าบ้านการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉุดคร่าสำเร็จแล้ว ไม่ใช่เพียงฐานพยายาม (อ้างฎีกาที่ 982/2482 จำเลยฉุดคร่าผู้เสียหายไป 1 วา ผู้เสียหายสบัดหลุดไปเกาะเอวนางเพียร เป็นเรื่องฉุดคร่าสำเร็จแล้วไม่ใช่พยายาม)
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ศาลอุทธรณ์แก้เป็นจำคุก 3 เดือน และไม่รอการลงโทษเช่นนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์ก็ยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉุดคร่าสำเร็จ พิจารณาจากระยะทางที่ถูกลากและการเคลื่อนย้ายจากอิสรภาพ
ผู้เสียหายกับปู่ แม่ และน้าสาวนั่งดูเขาเล่นตรุษกันที่ปากตรอกบ้านจำเลย กับพวกเข้ามาที่ตัวผู้เสียหาย จำเลยคว้าแขนผู้เสียหายซึ่งนั่งอยู่ดึงลากไปเลยถูกไถลากไปกับพื้นดิน พวกจำเลยเข้ากั้นไม่ให้แม่และน้าสาวช่วย แม่ผู้เสียหายเข้ากอดตัวผู้เสียหายไว้และต่างร้องเอะอะกันขึ้น จำเลยปล่อยผู้เสียหายแล้วยังกลับมาลากอีก แม่ผู้เสียหายก็เข้ากอดไว้จนผู้เสียหายหลุดจากมือจำเลย จำเลยฉุดผู้เสียหายไถดินไปสัก 2 วา แล้วผู้เสียหายกับพวกก็พากันหนีเข้าบ้านไป การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉุดคร่าสำเร็จแล้ว ไม่ใช่เพียงฐานพยายาม (อ้างฎีกาที่ 982/2482 จำเลยฉุดคร่าผู้เสียหายไป 1 วา ผู้เสียหายสบัดหลุดไปเกาะเอวนางเพียร เป็นเรื่องฉุดคร่าสำเร็จแล้ว ไม่ใช่พยายาม)
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ ศาลอุทธรณ์แก้เป็นจำคุก 3 เดือน และไม่รอการลงโทษ เช่นนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์ก็ยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการลงโทษตามความผิดอื่นเมื่อไม่พบผิดตามฟ้องเดิม แต่ยังอยู่ในหมวดความผิดเดียวกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276 ซึ่งอยู่ในหมวดฐานกระทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพ เมื่อฟังว่าจำเลยไม่มีผิดตาม มาตรา 276 หากแต่ผิด ตาม มาตรา 270 อันเป็นความผิดอยู่ในหมวดเดียวกัน เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพอยู่ในตัว ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตาม มาตรา 270 ซึ่งมีโทษเบากว่าได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการลงโทษตามความผิดที่เบากว่าในหมวดเดียวกัน แม้โจทก์ฟ้องฐานความผิดหนักกว่า
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.276 ซึ่งอยู่ในหมวดฐานกระทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพ เมื่อฟังว่าจำเลยไม่มีผิดตาม ม.276 หากแต่ผิดตาม ม.270 อันเป็นความผิดอยู่ในหมวดเดียวกัน เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษฐานทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพอยู่ในตัวศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตาม ม.270 ซึ่งมีโทษเบากว่าได้ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 192

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำอนาจาร แม้เพียงกอดรัดอุ้มเด็กก็เป็นความผิด แม้จะมิได้ใช้กำลังฉุดคร่า
จำเลยล่อเด็กหญิงเข้ามาหาแล้วคว้าตัวกอดรัดอุ้มกอดไว้ที่อกแล้วพาอุ้มเข้าป่าโดยจำเลยมีเจตนาทำอนาจารแก่หญิง แม้แต่เพียงการกอดรัดสัมผัสด้วยเจตนาอนาจารก็เป็นอนาจาร การกระทำซึ่งประกอบด้วยกายและใจพร้อมโดยประสงค์มุ่งตรงต่อสิ่งที่ กฎหมายห้ามก็ย่อมเป็นความผิด รูปเรื่องของคดีนี้ควรใช้บทมาตรา 276 แต่คดีนี้โจทก์มิได้อ้าง มาตรา 276 หากแต่อ้าง มาตรา 245 จำเลยจึงมีความผิดตาม มาตรา 245 ที่โจทก์ขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 724/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉุดคร่าเพื่ออนาจาร: การกระทำที่เป็นพิธีแต่งงานตามประเพณี ไม่เข้าข่ายความผิด
เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าผู้เสียหายสมัครใจแต่งงานกับจำเลยแต่เพื่อปิดบังบิดาจึงนัดหมายให้จำเลยมาฉุดคร่าไปให้พ้นเขตที่จะต้องขอความยินยอมของบิดาผู้เสียหายตามประเพณีดังนี้การที่จำเลยฉุดแขนผู้เสียหายไปนั้นจึงไม่เป็นผิดฐานฉุดคร่าเพื่อการอนาจาร มาตรา 276

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล่อลวงเพื่ออนาจาร: จำเลยใช้อุบายหลอกลวงพาผู้เสียหายไปเพื่อประสงค์ต่อการอนาจาร เป็นความผิดตาม ม.276
การที่จำเลยเอาความเท็จมากล่าวอ้างกับหญิงมีชื่อว่าตนเป็นตำรวจจะพาหญิงมีชื่อไปส่งบ้านเพราะเป็นผู้หญิงจะไปคนเดียวในเวลาดึกเช่นนั้นไม่ได้แล้วจำเลยพาหญิงมีชื่อเดินไปถึงสวนลุมพินีและพาเข้าไปในสวนลุมพินีและให้นั่งลงบนสนามหญ้าและพูดจาชักชวนให้หญิงมีชื่อไปบ้านจำเลยแต่หญิงมีชื่อไม่ยอมไปแล้วจำเลยก็รั้งตัวหญิงมีชื่อมากอดจูบหญิงมีชื่อดิ้นเช่นนี้วินิจฉัยว่าเป็นการใช้อุบายทุจริตล่อลวงพาหญิงมีชื่อไปเพื่อการอนาจาร การกระทำเป็นความผิดต้องด้วยบท กฎหมายอาญา มาตรา 276 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพาผู้อื่นไปเพื่ออนาจาร ความผิดตามมาตรา 276 แม้ไม่มีการชำเรา
ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างทั้งสองว่าจำเลยสมคบกันใช้อุบายทุจริตล่อลวงพานางสุมล (อายุ 17 ปี 6 เดือน) ไปเพื่ออนาจาร ฉะนั้นความผิดของจำเลยจึงต้องด้วย มาตรา 276 เท่านั้น ไม่ผิด มาตรา 275 ด้วย เพราะมิใช่เป็นเรื่องเกลี้ยกล่อมพาเด็กไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้มีอำนาจคุ้มครองโดยเจตนาหากำไรหรือเพื่อการอนาจารถึงเด็กจะเต็มใจไปด้วย
เมื่อผู้ใดมีเจตนาพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารก็ย่อมเป็นความผิดสมบูรณ์ตาม มาตรา 276 แล้ว ไม่จำเป็นถึงต้องถูกชำเราหรือถูกทำอนาจารด้วย
of 3