พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,694 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1813/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารที่ไม่น่าเชื่อถือ: ศาลไม่รับฟังเอกสาร บ.ท.4 ที่ไม่มีผู้รับรองและพยานบุคคลยืนยันความถูกต้อง
(คดีนี้สืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว แต่ระหว่างสืบพยานจำเลย โจทก์ยื่นคำร้องขออ้างเอกสาร บ.ท.4 เพิ่มเติมเพื่อหักล้างคำพยานจำเลยที่เบิกความเกี่ยวกับความกว้างยาวของที่พิพาทเอกสาร บ.ท. 4 นี้โจทก์อ้างว่าพยานจำเลยปากนี้ได้เป็นผู้ทำขึ้น และว่าพยานจำเลยปากนี้เบิกความชั้นศาลไม่ตรงกับข้อความในเอกสาร ศาลไม่ควรรับฟังคำพยานจำเลยปากนี้ ควรฟังตามพยานเอกสารที่โจทก์อ้าง เพื่อความเที่ยงธรรมศาลสั่งอนุญาตให้โจทก์อ้างเพิ่มเติมพยานเอกสารดังกล่าวได้)
ดังนี้เมื่อปรากฎว่าเอกสารฉบับนี้ไม่มีพยานบุคคลสืบประกอบ ไม่แน่ว่าจะเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่ ไม่มีเจ้าพนักงานรับรองความแท้จริง ทั้งจำเลยก็มิได้รับรองความแท้จริง และพยานจำเลยปากนี้ก็ไม่มีโอกาศให้การชี้แจงอธิบายถึงเอกสารฉบับนี้ จึงไม่มีเหตุควรรับฟังเอกสารที่โจทก์อ้างขึ้นมานี้ได้.
ดังนี้เมื่อปรากฎว่าเอกสารฉบับนี้ไม่มีพยานบุคคลสืบประกอบ ไม่แน่ว่าจะเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่ ไม่มีเจ้าพนักงานรับรองความแท้จริง ทั้งจำเลยก็มิได้รับรองความแท้จริง และพยานจำเลยปากนี้ก็ไม่มีโอกาศให้การชี้แจงอธิบายถึงเอกสารฉบับนี้ จึงไม่มีเหตุควรรับฟังเอกสารที่โจทก์อ้างขึ้นมานี้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1813/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารที่ไม่มีพยานบุคคลสืบประกอบและไม่มีการรับรองความแท้จริง
คดีนี้สืบพยานโจทก์เสร็จแล้วแต่ระหว่างสืบพยานจำเลยโจทก์ยื่นคำร้องขออ้างเอกสาร บ.ท.4เพิ่มเติมเพื่อหักล้างคำพยานจำเลยที่เบิกความเกี่ยวกับความกว้างยาวของที่พิพาทเอกสาร บ.ท.4 นี้โจทก์อ้างว่าพยานจำเลยปากนี้ได้เป็นผู้ทำขึ้น และว่าพยานจำเลยปากนี้เบิกความชั้นศาลไม่ตรงกับข้อความในเอกสาร ศาลไม่ควรรับฟังคำพยานจำเลยปากนี้ ควรฟังตามพยานเอกสารที่โจทก์อ้าง เพื่อความเที่ยงธรรมศาลสั่งอนุญาตให้โจทก์อ้างเพิ่มเติมพยานเอกสารดังกล่าวได้)
ดังนี้เมื่อปรากฏว่าเอกสารฉบับนี้ไม่มีพยานบุคคลสืบประกอบไม่แน่ว่าจะเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่ ไม่มีเจ้าพนักงานรับรองความแท้จริง ทั้งจำเลยก็มิได้รับรองความแท้จริง และพยานจำเลยปากนี้ก็ไม่มีโอกาสให้การชี้แจงอธิบายถึงเอกสารฉบับนี้ จึงไม่มีเหตุควรรับฟังเอกสารที่โจทก์อ้างขึ้นมานี้ได้
ดังนี้เมื่อปรากฏว่าเอกสารฉบับนี้ไม่มีพยานบุคคลสืบประกอบไม่แน่ว่าจะเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่ ไม่มีเจ้าพนักงานรับรองความแท้จริง ทั้งจำเลยก็มิได้รับรองความแท้จริง และพยานจำเลยปากนี้ก็ไม่มีโอกาสให้การชี้แจงอธิบายถึงเอกสารฉบับนี้ จึงไม่มีเหตุควรรับฟังเอกสารที่โจทก์อ้างขึ้นมานี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1807/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทนายรับเงินแทนความแล้วไม่ทำงานตามสัญญา ไม่มีสิทธิรับค่าจ้าง ต้องคืนเงินให้ตัวความ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้รับเงินราคาที่ดินของโจทก์มาแม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าจำเลยได้รับเงินของโจทก์มานั้นเป็นเงินค่าสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืน ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ทนายความรับเงินมาในฐานะแทนตัวความ มีหน้าที่ต้องมอบเงินคืนแก่ตัวความ
โจทก์ตกลงให้จำเลยซึ่งเป็นทนายซื้อที่ดินคืนในคดีที่โจทก์ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลย แล้วให้จำเลยขายที่ดินนั้นต่อไป แต่จำเลยกลับตกลงกับบุคคลอื่นนั้น โดยจำเลยสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืนและรับเงินค่าสละสิทธิมา ถือว่าจำเลยมิได้ทำงานตามที่จ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง.
ทนายความรับเงินมาในฐานะแทนตัวความ มีหน้าที่ต้องมอบเงินคืนแก่ตัวความ
โจทก์ตกลงให้จำเลยซึ่งเป็นทนายซื้อที่ดินคืนในคดีที่โจทก์ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลย แล้วให้จำเลยขายที่ดินนั้นต่อไป แต่จำเลยกลับตกลงกับบุคคลอื่นนั้น โดยจำเลยสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืนและรับเงินค่าสละสิทธิมา ถือว่าจำเลยมิได้ทำงานตามที่จ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1807/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทนายรับเงินแทนความมีหน้าที่ส่งคืน แม้จะอ้างงานอื่น หากมิได้ทำงานตามสัญญาไม่มีสิทธิรับค่าจ้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้รับเงินราคาที่ดินของโจทก์มาแม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าจำเลยได้รับเงินของโจทก์มานั้นเป็นเงินค่าสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืน ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ทนายความรับเงินมาในฐานะแทนตัวความ มีหน้าที่ต้องมอบเงินคืนแก่ตัวความ
โจทก์ตกลงให้จำเลยซึ่งเป็นทนายซื้อที่ดินคืน ในคดีที่โจทก์ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลย แล้วให้จำเลยขายที่ดินนั้นต่อไป แต่จำเลยกลับตกลงกับบุคคลอื่นนั้น โดยจำเลยสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืนและรับเงินค่าสละสิทธิมา ถือว่าจำเลยมิได้ทำงานตามที่จ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง
ทนายความรับเงินมาในฐานะแทนตัวความ มีหน้าที่ต้องมอบเงินคืนแก่ตัวความ
โจทก์ตกลงให้จำเลยซึ่งเป็นทนายซื้อที่ดินคืน ในคดีที่โจทก์ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลย แล้วให้จำเลยขายที่ดินนั้นต่อไป แต่จำเลยกลับตกลงกับบุคคลอื่นนั้น โดยจำเลยสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืนและรับเงินค่าสละสิทธิมา ถือว่าจำเลยมิได้ทำงานตามที่จ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1802/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผูกพันคำพิพากษาเดิม, ใบมอบอำนาจ, และการเปลี่ยนแปลงตัวผู้รับมอบอำนาจในคดีแพ่ง
ป.วิ.แพ่ง ม.47 หมายถึงกรณีที่ศาลมีเหตุอันควรสงสัยเท่านั้น
ใบมอบอำนาจทำในเมืองต่างประเทศ ลงชื่อผู้มอบและผู้รับมอบกับสามีโจทก์ผู้มอบลงชื่ออนุญาตยินยอมในการนี้และมีพยานลงชื่อรับรอง ทั้งมีกงสุลรักษาราชการแทนกงสุลใหญ่ไทยเมืองเจดาห์ลงชื่อรับรองว่า ตัวโจทก์ผู้มอบอำนาจได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าตน โดยมีตราตำแหน่งกงสุลประทับ แม้จำเลยต่อสู้เกี่ยวกับใบมอบอำนาจว่าจำเลยไม่รับรองและอาจจะไม่เป็นดังนั้น ดังนี้ และว่าประเทศอาหรับไม่มีกงสุลสยามและไม่มีบุคคลตามที่ ป.วิ.แพ่ง ม.47 บัญญติไว้ลงชื่อเป็นพยานเช่นนี้ศาลเห็นได้เองว่าไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะไม่ใช่ใบมอบอำนาจอันแท้จริง
เมื่อจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนนั้นด้วยไม่ได้คัดค้านความแท้จริงของคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนซึ่งวินิจฉัยเกี่ยวกับที่พิพาทแปลงเดียวกันกับคดีใหม่นี้และคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนก็ได้อ่านและจำเลยก็ทราบแล้ว จำเลยจะมาอ้างในคดีใหม่นี้ว่าผู้รับอำนาจจากโจทก์ในคดีก่อนได้มรณะและโจทก์ยังไม่ได้มอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินคดีแทนเช่นนี้ หาได้ไม่เพราะเรื่องเช่นว่านั้นเป็นเรื่องของโจทก์ ไม่เกี่ยวกับจำเลยคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันจำเลย หาตกเป็นโมฆะไม่
ตัวโจทก์จำเลยในคดีก่อนกับคดีใหม่นี้เป็นคู่ความคู่กัน คดีก่อนถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันจำเลยในคดีใหม่นี้ในส่วนที่เกี่ยวกับที่พิพาทแปลงเดียวกันนั้นด้วย จำเลยจะมาอ้างเหตุว่าผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ในคดีก่อนกับในคดีใหม่นี้เป็นคนละคนกัน จะเอาคำพิพากษาคดีก่อนมาใช้กับคดีใหม่นี้ ไม่ได้นั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะโจทก์ในคดีก่อนกับคดีใหม่นี้เป็นคนเดียวกัน เป็นแต่ผู้รับมอบอำนาจต่างคนกันเท่านั้น.
ใบมอบอำนาจทำในเมืองต่างประเทศ ลงชื่อผู้มอบและผู้รับมอบกับสามีโจทก์ผู้มอบลงชื่ออนุญาตยินยอมในการนี้และมีพยานลงชื่อรับรอง ทั้งมีกงสุลรักษาราชการแทนกงสุลใหญ่ไทยเมืองเจดาห์ลงชื่อรับรองว่า ตัวโจทก์ผู้มอบอำนาจได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าตน โดยมีตราตำแหน่งกงสุลประทับ แม้จำเลยต่อสู้เกี่ยวกับใบมอบอำนาจว่าจำเลยไม่รับรองและอาจจะไม่เป็นดังนั้น ดังนี้ และว่าประเทศอาหรับไม่มีกงสุลสยามและไม่มีบุคคลตามที่ ป.วิ.แพ่ง ม.47 บัญญติไว้ลงชื่อเป็นพยานเช่นนี้ศาลเห็นได้เองว่าไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะไม่ใช่ใบมอบอำนาจอันแท้จริง
เมื่อจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนนั้นด้วยไม่ได้คัดค้านความแท้จริงของคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนซึ่งวินิจฉัยเกี่ยวกับที่พิพาทแปลงเดียวกันกับคดีใหม่นี้และคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนก็ได้อ่านและจำเลยก็ทราบแล้ว จำเลยจะมาอ้างในคดีใหม่นี้ว่าผู้รับอำนาจจากโจทก์ในคดีก่อนได้มรณะและโจทก์ยังไม่ได้มอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินคดีแทนเช่นนี้ หาได้ไม่เพราะเรื่องเช่นว่านั้นเป็นเรื่องของโจทก์ ไม่เกี่ยวกับจำเลยคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันจำเลย หาตกเป็นโมฆะไม่
ตัวโจทก์จำเลยในคดีก่อนกับคดีใหม่นี้เป็นคู่ความคู่กัน คดีก่อนถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันจำเลยในคดีใหม่นี้ในส่วนที่เกี่ยวกับที่พิพาทแปลงเดียวกันนั้นด้วย จำเลยจะมาอ้างเหตุว่าผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ในคดีก่อนกับในคดีใหม่นี้เป็นคนละคนกัน จะเอาคำพิพากษาคดีก่อนมาใช้กับคดีใหม่นี้ ไม่ได้นั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะโจทก์ในคดีก่อนกับคดีใหม่นี้เป็นคนเดียวกัน เป็นแต่ผู้รับมอบอำนาจต่างคนกันเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1802/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผูกพันคำพิพากษาเดิม การรับรองใบมอบอำนาจ และการเปลี่ยนแปลงตัวผู้รับมอบอำนาจ
ใบมอบอำนาจทำในเมืองต่างประเทศ ลงชื่อผู้มอบและผู้รับมอบกับมีสามีโจทก์ผู้มอบลงชื่ออนุญาตยินยอมในการนี้และมีพยานลงชื่อรับรอง ทั้งมีกงสุลรักษาราชการแทนกงสุลใหญ่ไทยเมืองเจด่าห์ลงชื่อรับรองว่า ตัวโจทก์ผู้มอบอำนาจได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าตนโดยมีตราตำแหน่งกงสุลประทับ แม้จำเลยต่อสู้เกี่ยวกับใบมอบอำนาจว่าจำเลยไม่รับรองและอาจจะไม่เป็นดังนั้น ดังนี้ และว่าประเทศอาหรับไม่มีกงสุลสยามและไม่มีบุคคลตามที่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47 บัญญัติไว้ลงชื่อเป็นพยาน เช่นนี้ศาลเห็นได้เองว่าไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะไม่ใช่ใบมอบอำนาจอันแท้จริง
เมื่อจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนนั้นด้วยไม่ได้คัดค้านความแท้จริงของคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนซึ่งวินิจฉัยเกี่ยวกับที่พิพาทแปลงเดียวกันกับคดีใหม่นี้ และคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนก็ได้อ่านและจำเลยก็ทราบแล้ว จำเลยจะมาอ้างในคดีใหม่นี้ว่าผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ในคดีก่อนได้มรณะ และโจทก์ยังไม่ได้มอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินคดีแทนเช่นนี้ หาได้ไม่ เพราะเรื่องเช่นว่านั้นเป็นเรื่องของโจทก์ ไม่เกี่ยวกับจำเลย คำพิพากษาฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันจำเลย หาตกเป็นโมฆะไม่
ตัวโจทก์จำเลยในคดีก่อนกับคดีใหม่นี้เป็นคู่ความคู่กันคดีก่อนถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันจำเลยในคดีใหม่นี้ในส่วนที่เกี่ยวกับที่พิพาทแปลงเดียวกันนั้นด้วย จำเลยจะมาอ้างเหตุว่าผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ในคดีก่อนกับในคดีใหม่นี้เป็นคนละคนกัน จะเอาคำพิพากษาคดีก่อนมาใช้กับคดีใหม่นี้ ไม่ได้นั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะโจทก์ในคดีก่อนกับคดีใหม่นี้เป็นคนเดียวกัน เป็นแต่ผู้รับมอบอำนาจต่างคนกันเท่านั้น
เมื่อจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนนั้นด้วยไม่ได้คัดค้านความแท้จริงของคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนซึ่งวินิจฉัยเกี่ยวกับที่พิพาทแปลงเดียวกันกับคดีใหม่นี้ และคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนก็ได้อ่านและจำเลยก็ทราบแล้ว จำเลยจะมาอ้างในคดีใหม่นี้ว่าผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ในคดีก่อนได้มรณะ และโจทก์ยังไม่ได้มอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินคดีแทนเช่นนี้ หาได้ไม่ เพราะเรื่องเช่นว่านั้นเป็นเรื่องของโจทก์ ไม่เกี่ยวกับจำเลย คำพิพากษาฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันจำเลย หาตกเป็นโมฆะไม่
ตัวโจทก์จำเลยในคดีก่อนกับคดีใหม่นี้เป็นคู่ความคู่กันคดีก่อนถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันจำเลยในคดีใหม่นี้ในส่วนที่เกี่ยวกับที่พิพาทแปลงเดียวกันนั้นด้วย จำเลยจะมาอ้างเหตุว่าผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ในคดีก่อนกับในคดีใหม่นี้เป็นคนละคนกัน จะเอาคำพิพากษาคดีก่อนมาใช้กับคดีใหม่นี้ ไม่ได้นั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะโจทก์ในคดีก่อนกับคดีใหม่นี้เป็นคนเดียวกัน เป็นแต่ผู้รับมอบอำนาจต่างคนกันเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1774/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับสัญญา: ศาลลดหย่อนเบี้ยปรับที่สูงเกินควรได้ตามกฎหมาย
โจทก์จำเลยทำสัญญากันว่าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว ให้จำเลยเสียเบี้ยปรับจำนวนหนึ่ง เช่นนี้ เป็นการทำสัญญาตามประมวลแพ่งฯ มาตรา 381 (ไม่ใช่380)
เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับที่คู่ความทำสัญญากันไว้ดังกล่าวแล้วสูงเกินสมควรไป ศาลมีอำนาจที่จะกะให้ตามที่ศาลเห็นสมควรตาม มาตรา 383
เบี้ยปรับตามสัญญาเป็นทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ชอบที่ผู้ผิดนัดจะต้องชำระดอกเบี้ยจากจำนวนเงินเบี้ยปรับด้วย.
เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับที่คู่ความทำสัญญากันไว้ดังกล่าวแล้วสูงเกินสมควรไป ศาลมีอำนาจที่จะกะให้ตามที่ศาลเห็นสมควรตาม มาตรา 383
เบี้ยปรับตามสัญญาเป็นทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ชอบที่ผู้ผิดนัดจะต้องชำระดอกเบี้ยจากจำนวนเงินเบี้ยปรับด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1774/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับตามสัญญา: ศาลมีอำนาจปรับลดหากสูงเกินควร
โจทก์จำเลยทำสัญญากันว่า หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว ให้จำเลยเสียเบี้ยปรับจำนวนหนึ่ง เช่นนี้ เป็นการทำสัญญาตามประมวลแพ่งฯ มาตรา 381 (ไม่ใช่ 380)
เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับที่คู่ความทำสัญญากันไว้ดังกล่าวแล้วสูงเกินสมควรไป ศาลมีอำนาจที่จะกะให้ตามที่ศาลเห็นสมควรตาม มาตรา 383
เบี้ยปรับตามสัญญาเป็นทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ชอบที่ผู้ผิดนัดจะต้องชำระดอกเบี้ยจากจำนวนเงินเบี้ยปรับด้วย
เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับที่คู่ความทำสัญญากันไว้ดังกล่าวแล้วสูงเกินสมควรไป ศาลมีอำนาจที่จะกะให้ตามที่ศาลเห็นสมควรตาม มาตรา 383
เบี้ยปรับตามสัญญาเป็นทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ชอบที่ผู้ผิดนัดจะต้องชำระดอกเบี้ยจากจำนวนเงินเบี้ยปรับด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาวางค่าธรรมเนียมอุทธรณ์: ศาลพิจารณาเจตนาจำเลยและประโยชน์แห่งความยุติธรรม
จำเลยอุทธรณ์โดยมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ศาลชั้นต้นก็ได้รับอุทธรณ์ไว้โดยจำเลยไม่มีเจตนาที่จะไม่วางเงินนั้น และต่อมาก็ได้นำมาวางแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ ศาลฎีกาถือว่าศาลได้ขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมให้แล้วให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนสภาพห้องเช่าจากที่อยู่อาศัยเป็นที่ทำการค้า ทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
เดิมจำเลยเช่าห้องพิพาทของโจทก์เป็นที่อยู่อาศัย และจำเลยก็ได้อยู่อาศัยตลอดมาแต่ต่อมาจำเลยได้เอาห้องพิพาทให้ผู้อื่นเช่าช่วงทำการค้าโดยจำเลยได้รับประโยชน์จากผู้เช่าช่วงมากมาย ทั้งห้องพิพาทก็เป็นตึกแถวอยู่ในทำเลการค้าและแม้จำเลยยังคงพักพิงอาศัยอยู่ในห้องพิพาทตลอดมา ก็ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยได้เปลี่ยนการใช้ห้องพิพาทให้เป็นสถานที่ทำการค้าไปเสียแล้ว ห้องพิพาทจึงไม่เป็นเคหะซึ่งจำเลยจะได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯต่อไปได้ และเมื่อเช่นนี้ การที่จำเลยยังคงพักพิงอาศัยอยู่ในห้องพิพาทตลอดมาก็ดี ข้อที่ว่าจำเลยให้เช่าช่วงไปโดยได้รับความยินยอมจากผู้แทนของโจทก์ก็ดี หาเป็นข้อสำคัญที่จะทำให้ห้องพิพาทคงเป็นเคหะตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ อยู่ต่อไปไม่.