พบผลลัพธ์ทั้งหมด 253 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถทางแยก ส่งผลถึงการเสียชีวิตของผู้โดยสาร จำเลยทั้งสองมีความรับผิดร่วมกัน
บุคคลในภาวะที่ขับรถมาจะสวนกัน คนหนึ่งจะเลี้ยวเข้าทางแยกทางขวามือตนซึ่งจะต้องข้ามทางของรถที่สวนมาและอีกคนหนึ่งก็จะต้องแล่นผ่านทางแยกนั้น และผ่านรถของคนแรกเช่นนั้นจักต้องมีความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 จะเลี้ยวขวาเข้าทางแยกแต่มิได้ระมัดระวังหยุดรอในทางวิ่งรถตนและกลับเข้าไปหยุดรออยู่ล้ำเข้าไปในทางของรถจำเลยที่ 1 กีดขวางแก่การจราจรรถจำเลยที่ 1 รถจำเลยที่ 1 จะผ่านทางแยกและผ่านรถจำเลยที่ 2 แต่มิได้ระมัดระวังลดความเร็ว ได้แล่นมาอย่างเร็วมากจะผ่านทางแยกก็เห็นรถจำเลยที่ 2 ตั้งแต่ยังห่าง 6-8 เมตร ก็มิได้หยุดมิได้หักหลบจนเมื่อห่าง 4 เมตร จึงเบรคความเร็วมากเกินสมควรที่จะหยุดได้ทัน จึงหลบให้พ้น ทำให้ด้านขวาตอนกลางรถ (กะบะ) จำเลยที่ 1 ไม่พ้น และเฉี่ยวถูกด้านขวารถจำเลยที่ 2 ทำให้ปุ่มเหล็กปิดท้ายกะบะโดนหัวนางสาวปราณีซึ่งนั่งในรถจำเลยที่ 2 ตายดังนี้จำเลยทั้งสองจึงชื่อว่ากระทำการขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้นางสาวปราณีตาย ผิดมาตรา 291
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถทางแยก ส่งผลเสียชีวิตผู้อื่น
บุคคลในภาวะที่ขับรถมาจะสวนกัน คนหนึ่งจะเลี้ยวเข้าทางแยกทางขวามือตนซึ่งจะต้องข้ามทางของรถที่สวนมา และอีกคนหนึ่งก็จะต้องแล่นผ่านทางแยกนั้น และผ่านรถของคนแรกเช่นนั้น จักต้องมีความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ ดังนี้การที่จำเลยที่ 2 จะเลี้ยวขวาเข้าทางแยก แต่มิได้ระมัดระวังหยุดรอในทางวิ่งรถตน และกลับเข้าไปหยุดรถอยู่ล้ำเข้าไปในทางของรถจำเลยที่ 1 กีดขวางแก่การจราจรรถจำเลยที่ 1 ๆ จะผ่านทางแยกและผ่านรถจำเลยที่ 2 แต่มิได้ระมัดระวังลดความเร็ว ได้แล่นมาอย่างเร็วมาก จะผ่านทางแยกก็เห็นรถจำเลยที่ 2 ตั้งแต่ยังห่าง 6 - 8 เมตร ก็มิได้หยุด มิได้หักหลบ จนเมื่อห่าง 4 เมตร จึงเบรค ความเร็วมากเกินสมควรที่จะหยุดได้ทัน หรือหลบให้พ้น ทำให้ด้านขวาตอนกลางรถ(กะบะ) จำเลยที่ 1 ไม่พ้น และเฉี่ยวถูกด้านขวารถจำเลยที่ 2 ทำให้ปุ่มเหล็กปิดท้ายกะบะโดนหัวนางสาวปราณีซึ่งนั่งในรถจำเลยที่ 2 ตาย ดังนี้ จำเลยทั้งสองจึงชื่อว่ากระทำการขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้นางสาวปราณีตาย ผิดมาตรา 291
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้ขับขี่ในคดีขับรถประมาท การพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อตัดสินว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถโดยประมาทชนกับรถที่สวนมา เป็นเหตุให้ผู้โดยสารถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยมิได้เป็นคนขับรถคนที่ชนกันนี้ ศาลพิพาษายกฟ้อง (ประชุมใหญ่ ครั้ง 25/2507)
(หมายเหตุ มีบันทึกท่านอาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์เจ้าของสำนวน(รับโอน) ความว่า ท่านตรวจสำนวนแล้วตามฟ้องและที่จำเลยเถียง ประเด็นคงเหลือว่าจำเลยเป็นคนขับหรือคนอื่นขับเท่านั้น ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้รับ จึงยกฟ้อง โจทก์ฎีกาว่า จำเลยขับ ประเด็นที่เสนอเป็นข้อกฎหมายเข้าประชุมใหญ่มีว่า "จำเลยเป็นผู้ขับรถคันที่ชนกันนี้เป็นประจำ แต่ได้ปล่อยให้คนอื่นขับจนเป็นเหตุให้รถชนกันมีคนตาย จำเลยจะมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทด้วยหรือไม่ " นั้น จึงไม่มีในสำนวน ท่านจึงชึ้ขาดข้อเท็จจริงแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงมติที่ประชุมใหญ่ เพราะจะเป็นการวินิฉัยนอกประเด็น)
(หมายเหตุ มีบันทึกท่านอาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์เจ้าของสำนวน(รับโอน) ความว่า ท่านตรวจสำนวนแล้วตามฟ้องและที่จำเลยเถียง ประเด็นคงเหลือว่าจำเลยเป็นคนขับหรือคนอื่นขับเท่านั้น ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้รับ จึงยกฟ้อง โจทก์ฎีกาว่า จำเลยขับ ประเด็นที่เสนอเป็นข้อกฎหมายเข้าประชุมใหญ่มีว่า "จำเลยเป็นผู้ขับรถคันที่ชนกันนี้เป็นประจำ แต่ได้ปล่อยให้คนอื่นขับจนเป็นเหตุให้รถชนกันมีคนตาย จำเลยจะมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทด้วยหรือไม่ " นั้น จึงไม่มีในสำนวน ท่านจึงชึ้ขาดข้อเท็จจริงแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงมติที่ประชุมใหญ่ เพราะจะเป็นการวินิฉัยนอกประเด็น)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องตัวผู้ขับขี่ในคดีขับรถประมาททำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถโดยประมาทชนกับรถที่สวนมาเป็นเหตุให้ผู้โดยสารถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยมิได้เป็นคนขับรถคันที่ชนกันนี้ ศาลพิพากษายกฟ้อง(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2507)
(หมายเหตุ)มีบันทึกท่านอาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์ เจ้าของสำนวน(รับโอน)ความว่าท่านตรวจสำนวนแล้วตามฟ้องและที่จำเลยเถียงประเด็นคงเหลือว่าจำเลยเป็นคนขับหรือคนอื่นขับเท่านั้นซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ขับ จึงยกฟ้องโจทก์ฎีกาว่าจำเลยขับ ประเด็นที่เสนอเป็นข้อกฎหมายเข้าประชุมใหญ่มีว่า 'จำเลยเป็นผู้ขับรถคันที่ชนกันนี้เป็นประจำแต่ได้ปล่อยให้คนอื่นขับจนเป็นเหตุให้รถชนกันมีคนตาย จำเลยจะมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทด้วยหรือไม่' นั้นจึงไม่มีในสำนวนท่านจึงชี้ขาดข้อเท็จจริงแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงมติที่ประชุมใหญ่ เพราะจะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น)
(หมายเหตุ)มีบันทึกท่านอาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์ เจ้าของสำนวน(รับโอน)ความว่าท่านตรวจสำนวนแล้วตามฟ้องและที่จำเลยเถียงประเด็นคงเหลือว่าจำเลยเป็นคนขับหรือคนอื่นขับเท่านั้นซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ขับ จึงยกฟ้องโจทก์ฎีกาว่าจำเลยขับ ประเด็นที่เสนอเป็นข้อกฎหมายเข้าประชุมใหญ่มีว่า 'จำเลยเป็นผู้ขับรถคันที่ชนกันนี้เป็นประจำแต่ได้ปล่อยให้คนอื่นขับจนเป็นเหตุให้รถชนกันมีคนตาย จำเลยจะมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทด้วยหรือไม่' นั้นจึงไม่มีในสำนวนท่านจึงชี้ขาดข้อเท็จจริงแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงมติที่ประชุมใหญ่ เพราะจะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถสภาพไม่สมบูรณ์และขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต
จำเลยขับรถยนต์จี๊ปซึ่งอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ คือห้ามล้อมือใช้การไม่ได้ ห้ามล้อเท้าใช้ได้เพียง 25เปอร์เซ็นต์ ด้วยความเร็วสูงประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นเหตุให้ชนผู้ตายซึ่งขับรถจักรยานยนต์ตัดหน้าจำเลยตรงสี่แยก จนถึงแก่ความตายนั้น แม้จะฟังว่าเป็นความผิดของผู้ตายด้วยก็ดี แต่ถ้าหากจำเลยใช้รถที่มีห้ามล้อดี ขับขี่ด้วยความเร็วไม่เกินกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่กฎหมายกำหนด รถก็จะไม่ชนกันแล้ว จำเลยก็ต้องมีผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: สิทธิฟ้องระงับหากฟ้องฐานความผิดบางบทแล้ว
จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ ได้ฉีดยาให้บุคคลหนึ่งโดยประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายนั้น เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องจำเลยตามฐานความผิดทุกบทกฎหมายเสียในคดีเดียวกัน กลับเลือกฟ้องจำเลยฐานประกอบโรคศิลปะไม่รับอนุญาตจนศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ก็ได้ชื่อว่าความผิดของจำเลยซึ่งได้ฟ้องนั้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องจำเลยฐานทำให้คนตายโดยประมาทอีก มิฉะนั้นความผิดกรรมเดียวของจำเลยก็จะถูกพิจารณาพิพากษาสองซ้ำสองหน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: สิทธิฟ้องระงับเมื่อฟ้องคดีแรกไปแล้ว
จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ ได้ฉีดยาให้บุคคลหนึ่งโดยประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายนั้น เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องจำเลยตามฐานความผิดทุกบทกฎหมายเสียในคดีเดียวกัน กลับเลือกฟ้องจำเลยฐานประกอบโรคศิลปไม่รับอนุญาตจนศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ก็ได้ชื่อว่าความผิดของจำเลยซึ่งได้ฟ้องนั้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องจำเลยฐานทำให้คนตายโดยประมาทอีก มิฉะนั้น ความผิดกรรมเดียวของจำเลยก็จะถูกพิจารณาสองซ้ำสองหนไม่ชอบกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทเลินเล่อในการขับรถโดยสารรับส่งคนโดยสาร ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงแก่ชีวิต
จำเลยมีอาชีพขับรถยนต์รับส่งคนโดยสารประจำทาง จำเลยมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังตรวจสภาพของรถให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยแก่ผู้โดยสารตลอดจนประชาชนคนเดินถนนและยวดยานต่างๆ ก่อนที่จะนำรถออกเดินรับส่งคนโดยสาร แต่กลับละเลยไม่ปฏิบัติ ได้ขับรถนั้นมาทั้งๆ ห้ามล้อมือใช้การไม่ได้ ทั้งยังฝ่าฝืนรับบรรทุกคนโดยสารเกินอัตราที่ได้รับอนุญาต เมื่อรถมีน้ำหนักมากลงสะพานจึงทำให้แล่นเร็วขึ้นยิ่งยากแก่การควบคุมขับขี่ ครั้นเมื่อรู้ว่าห้ามล้อเท้าใช้การไม่ได้ จำเลยก็ชอบที่จะบรรเทาผลร้ายโดยใช้ความระมัดระวังคุมพวงมาลัยบังคับรถให้เบียดชิดขอบทางไว้ตลอดเวลาให้รถหยุด แต่ก็มิได้ปฏิบัติทั้งๆ มีโอกาสปฏิบัติได้ รถจึงได้แล่นเปะปะไปชนรถยนต์และทับคนตาย ดังนี้ จำเลยต้องมีผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้คนตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลยในคดีอาญา: การสอบถามเรื่องทนายก่อนพิจารณา แม้จำเลยรับสารภาพ
ในคดีอุกฉกรรจ์มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไปนั้น ก่อนเริ่มพิจารณาศาลจะต้องถามจำเลยว่ามีทนายหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการ ศาลก็ต้องตั้งให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 แม้คดีนั้นต่อมาชั้นพิจารณาจำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้อง และศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ได้ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1804/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถแซงบนสะพานแคบ ทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงแก่ความตาย
จำเลยขับรถยนต์โดยสารซึ่งกว้างถึง 2 เมตรเศษ โดยไม่ใช้ความระมัดระวัง แซงขึ้นหน้ารถกะบะลากเข็นและรถจักรยานสองล้อบนสะพานซึ่งกว้างประมาณ 6 เมตรพอที่รถยนต์สองคันจะหลีกกันได้เท่านั้น เมื่อมีรถยนต์อื่นวิ่งสวนขึ้นสะพานมา จำเลยจึงเบนรถกลับเข้าไปโดนรถจักรยานสองล้อซึ่งผู้ตายขับขี่อยู่ล้มลง ผู้ตายบาดเจ็บและต่อมาถึงแก่ความตาย เช่นนี้ นับว่าจำเลยกระทำโดยประมาทตามกฎหมายแล้ว