คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 291

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 253 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถยนต์ ชนรถจักรยานยนต์ ผู้ตายจอดรอข้ามถนน ศาลลงโทษฐานประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังโดยเร่งความเร็วแซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายเป็นผู้ขับโดยมิได้ให้สัญญาณเตือนขณะนั้นมีรถยนต์ขับสวนมาจำเลยไม่สามารถขับรถยนต์แซงรถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้พ้นจำเลยบังคับรถยนต์ของตนหลบรถยนต์ที่แล่นสวนทางมาเป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับแต่ในชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบว่าผู้ตายจอดรถจักรยานยนต์อยู่ที่ริมถนนด้านซ้ายมือเพื่อจะข้ามถนนไปเติมน้ำมันข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดไม่ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยก็ให้การปฏิเสธลอยๆจึงมิได้หลงต่อสู้ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประมาทขับรถ ชนกัน เสียชีวิต ศาลลดโทษ พิจารณาชดใช้ค่าเสียหายและประวัติผู้กระทำผิด
จ่าสิบตำรวจ ส. ขับรถจักรยานยนต์ออกจากซอยแล้วเลี้ยวขวาตัดหน้ารถคันที่จำเลยขับจำเลยหักหลบแล้วแตะเบรกแต่ก็ยังชนกันและรถจำเลยเสียหลักแล่นขึ้นไปบนสะพานลอยแล้วชนรถยนต์สามล้อสาธารณะที่แล่นสวนทางมาแล้วไปชนราวสะพานไปพลิกคว่ำอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามเป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตายเมื่อจุดชนถึงที่รถพลิกคว่ำเป็นระยะทางประมาณ40ถึง50เมตรแสดงว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วทั้งที่รู้ว่าฝนตกและถนนลื่นซึ่งจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังโดยลดความเร็วลงได้แต่จำเลยหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ถือว่าจำเลยขับรถโดยประมาทแต่เมื่อจ่าสิบตำรวจ ส. มีส่วนประมาทอยู่ด้วยประกอบกับจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจแล้วและจำเลยไม่เคยได้รับ โทษจำคุกมาก่อนสมควรวางโทษใหม่ให้เหมาะสมแก่รูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5594/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในคดีขับรถชน ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วตามกฎหมายและได้รับสัญญาณไฟเขียว ไม่เป็นความผิด
ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถมาตามถนนรัชดาภิเษกขาเข้ามุ่งหน้าจะไปห้วยขวางด้วยความเร็วประมาณ70-80กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นการใช้ความเร็วไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดอีกทั้งก่อนเกิดเหตุชนกันรถของจำเลยแล่นอยู่ในทางตรงและขณะผ่านสี่แยกที่เกิดเหตุช่องเดินรถของจำเลยได้รับสัญญาณไฟเขียวเมื่อปรากฏว่าชนกับรถของพ. ซึ่งแล่นมาตามถนนรัชดาภิเษกขาออกจะเลี้ยวขวาเข้าถนนสุทธิสารย่อมแสดงว่าพ. เป็นผู้ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงเลี้ยวขวาตรงสี่แยกที่เกิดเหตุตัดหน้ารถจำเลยทำให้ภ. ซึ่งโดยสารมากับรถคันดังกล่าวถึงแก่ความตายดังนี้ผลที่เกิดขึ้นหาได้เป็นผลโดยตรงมาจากการที่จำเลยมิได้ชะลอความเร็วของรถลงแต่อย่างใดการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5594/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ขับรถไม่ผิด เพราะรถผู้ตายฝ่าไฟแดงตัดหน้า ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถมาตามถนนรัชดาภิเษกขาเข้ามุ่งหน้าจะไปห้วยขวางด้วยความเร็วประมาณ 70 - 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงเป็นการใช้ความเร็วไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งก่อนเกิดเหตุชนกันรถของจำเลยแล่นอยู่ในทางตรงและขณะผ่านสี่แยกที่เกิดเหตุ ช่องเดินรถของจำเลยได้รับสัญญาณไฟเขียว เมื่อปรากฎว่าชนกับรถของ พ. ซึ่งแล่นมาตามถนนรัชดาภิเษกขาออกจะเลี้ยวขวาเข้าถนนสุทธิสารย่อมแสดงว่า พ. เป็นผู้ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงเลี้ยวขวาตรงสี่แยกที่เกิดเหตุตัดหน้ารถจำเลย ทำให้ภ. ซึ่งโดยสารมากับรถคันดังกล่าวถึงแก่ความตาย ดังนี้ ผลที่เกิดขึ้นหาได้เป็นผลโดยตรงมาจากการที่จำเลยมิได้ชะลอความเร็วของรถลงแต่อย่างใดการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชนท้ายรถหลายคัน ความรับผิดทางอาญาต่อการเสียชีวิตของผู้โดยสาร พิจารณาผลกระทบจากแรงชนและการบาดเจ็บ
รถยนต์คันที่ ส. ขับมีผู้ตายทั้งสองนั่งโดยสารมาด้วย ส.ขับรถชนท้ายรถบรรทุกห้องเย็นอย่างแรงแล้วจึงถูกรถจำเลยชนท้ายไม่รุนแรงนัก ก. และ ท. ที่นั่งโดยสารมากับรถจำเลยในที่นั่งตอนหน้าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยการที่ผู้ตายทั้งสองซึ่งนั่งอยู่หน้ารถ ส. อยู่ห่างไกลจุดชนมากกว่า ก. และ ท. กลับได้รับอันตรายถึงแก่ความตายเช่นนี้ย่อมแสดงว่าความตายของผู้ตายทั้งสองมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยแต่น่าจะเป็นผลโดยตรงมาจากการที่ ส.ขับรถชนท้ายรถยนต์บรรทุกห้องเย็นมากกว่าจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา291แต่มีความผิดตามมาตรา390

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การพิสูจน์ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลระหว่างการกระทำประมาทกับความตาย
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่ารถยนต์นั่งสองแถวส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียนม-3837สมุทรสาคร ส. เป็นผู้ขับ พ. กับ ด.เป็นผู้โดยสารแต่ตามเอกสารประกอบท้ายฟ้องซึ่งเป็นรายงานการชันสูตรพลิกศพระบุว่า พ. เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว ส. กับ ด.นั่งมาในรถนั้นแม้ชื่อผู้ขับจะไม่ตรงกับที่ปรากฏในรายงานการชันสูตรพลิกศพแต่โจทก์ก็ได้ระบุลักษณะและหมายเลขทะเบียนรถไว้แล้วถือได้ว่ามีรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วส่วนใครจะเป็นผู้ขับขี่ที่แท้จริงโจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูงโดยประมาทน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินไม่ขับรถให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยในเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถดังนั้นไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นไปตามที่โจทก์นำสืบหรือตามที่จำเลยนำสืบก็ยังได้ชื่อว่าจำเลยมีส่วนประมาทอยู่นั่นเอง เมื่อเปรียบเทียบร่องรอยความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รถยนต์ทั้งสามคันแสดงให้เห็นว่ารถ ส. ชนท้ายรถยนต์บรรทุกห้องเย็นอย่างแรงแล้วจึงถูกรถจำเลยชนท้ายไม่รุนแรงนักทั้งปรากฏว่ามีรอยเบรกรถจำเลยยาวถึง12เมตรแสดงว่าขณะรถจำเลยชนท้ายรถ ส.น่าจะเป็นเพียงการลื่นไถลหลังจากที่จำเลยใช้ห้ามล้อยาวถึง12เมตรแล้วแรงชนจากรถจำเลยจึงไม่มากนักมีผลเพียงทำให้ ก. และ ท.ซึ่งนั่งอยู่หน้ารถจำเลยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยดังนั้นการที่ผู้ตายทั้งสองซึ่งนั่งอยู่หน้ารถ ส. อยู่ห่างไกลจุดชนมากกว่า ก.และ ท. กลับได้รับอันตรายถึงแก่ความตายเช่นนี้แม้จำเลยจะมิได้ขับรถมาชนท้ายรถ ส. ผู้ตายทั้งสองก็ถึงแก่ความตายเนื่องจากรถ ส. ชนท้ายรถยนต์บรรทุกห้องเย็นอยู่นั่นเองย่อมแสดงว่าความตายของผู้ตายทั้งสองมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายทั้งสองถึงแก่ความตายคงมีความผิดเพียงฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ก. และ ท. ได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การพิสูจน์ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล
รถยนต์คันที่ ส.ขับมีผู้ตายทั้งสองนั่งโดยสารมาด้วย ส.ขับรถชนท้ายรถบรรทุกห้องเย็นอย่างแรง แล้วจึงถูกรถจำเลยชนท้ายไม่รุนแรงนัก ก.และท.ที่นั่งโดยสารมากับรถจำเลยในที่นั่งตอนหน้าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย การที่ผู้ตายทั้งสองซึ่งนั่งอยู่หน้ารถ ส. อยู่ห่างไกลจุดชนมากกว่า ก.และ ท.กลับได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ ย่อมแสดงว่าความตายของผู้ตายทั้งสองมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย แต่น่าจะเป็นผลโดยตรงมาจากการที่ ส.ขับรถชนท้ายรถยนต์บรรทุกห้องเย็นมากกว่า จำเลยจึงไม่มีความผิดตามป.อ. มาตรา 291 แต่มีความผิดตามมาตรา 390

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6746/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการกำหนดโทษและการแก้ไขคำพิพากษาในคดีอาญา และการพิจารณาความผิดฐานไม่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
คำพิพากษาศาลชั้นต้นจะถึงที่สุดก็ต่อเมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีนี้แม้โจทก์จะเป็นผู้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นและไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยก็ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นสำหรับจำเลยก็ยังไม่ถึงที่สุด ปัญหาเรื่องการกำหนดโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดเป็นดุลพินิจของศาล ถ้าศาลชั้นต้นกำหนดมาไม่เหมาะสม และคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ย่อมแก้ได้เสมอเมื่อคดีส่วนของจำเลยคนนั้นยังไม่ถึงที่สุดไม่ว่าฝ่ายใดจะยกขึ้นอุทธรณ์มาโดยเฉพาะหรือไม่ก็ตาม โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ประกอบการกระทำความผิด ศาลอุทธรณ์คงถูกห้ามเพียงแต่มิให้พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212เท่านั้น คดีนี้โจทก์เองเป็นผู้อุทธรณ์ทำนองขอให้เพิ่มโทษจำเลยและศาลอุทธรณ์ก็กำหนดโทษน้อยกว่าที่ศาลชั้นต้นวางไว้จึงไม่ต้องห้ามแต่อย่างใด และบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55เป็นเรื่องกฎหมายให้อำนาจศาลจะกำหนดโทษจำคุกตามกฎหมายให้น้อยลงแต่คดีนี้เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยให้น้อยลงกว่าศาลชั้นต้น จึงนำหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องอ้างเหตุว่าการที่จำเลยไม่อยู่ให้ความช่วยเหลือตามสมควร ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 นั้น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย คดีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 160 วรรคสอง ได้ และปัญหานี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6746/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษทางอาญาโดยศาลอุทธรณ์ และอำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยปัญหาความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลชั้นต้นจะถึงที่สุดก็ต่อเมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีนี้แม้โจทก์จะเป็นผู้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นและไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยก็ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นสำหรับจำเลยก็ยังไม่ถึงที่สุด
ปัญหาเรื่องการกำหนดโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดเป็นดุลพินิจของศาล ถ้าศาลชั้นต้นกำหนดมาไม่เหมาะสม และคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมแก้ได้เสมอเมื่อคดีส่วนของจำเลยคนนั้นยังไม่ถึงที่สุด ไม่ว่าฝ่ายใดจะยกขึ้นอุทธรณ์มาโดยเฉพาะหรือไม่ก็ตาม โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ประกอบการกระทำความผิดศาลอุทธรณ์คงถูกห้ามเพียงแต่มิให้พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้นตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 212 เท่านั้น คดีนี้โจทก์เองเป็นผู้อุทธรณ์ทำนองขอให้เพิ่มโทษจำเลย และศาลอุทธรณ์ก็กำหนดโทษน้อยกว่าที่ศาลชั้นต้นวางไว้จึงไม่ต้องห้ามแต่อย่างใด และบทบัญญัติแห่ง ป.อ. มาตรา 55เป็นเรื่องกฎหมายให้อำนาจศาลจะกำหนดโทษจำคุกตามกฎหมายให้น้อยลง แต่คดีนี้เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยให้น้อยลงกว่าศาลชั้นต้น จึงนำหลักเกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา 55 มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องอ้างเหตุว่าการที่จำเลยไม่อยู่ให้ความช่วยเหลือตามสมควร ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522 นั้น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย คดีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 วรรคสอง ได้ และปัญหานี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5721/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงนอกฟ้อง: ศาลวินิจฉัยว่าการนำสืบข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากฟ้องไม่เป็นเหตุให้ยกฟ้อง หากยังคงสาระสำคัญของข้อหาเดิม
แม้ว่าตามคำฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าจำเลยขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อชนรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ตายขับซึ่งกำลังจะเลี้ยวขวาเข้าทางแยกแต่ทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า รถจักรยานยนต์คันที่ผู้ตายขับเกิดเสียหลักล้มคว่ำไถลเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยจึงเฉี่ยวชนกันซึ่งแตกต่างกันก็ตาม แต่ก็หาใช่ข้อสาระสำคัญไม่เพราะโจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่าเหตุที่เกิดเฉี่ยวชนกันเพราะจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงทำให้จำเลยไม่สามารถห้ามล้อหยุดรถได้ทันและไม่สามารถควบคุมรถเพื่อไม่ให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้ อันเป็นคำฟ้องในส่วนสาระสำคัญ ซึ่งทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบได้ความตามคำฟ้องส่วนนี้ ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ จึงหาใช่เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องอันศาลจะต้องยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ไม่
of 26