คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
กมล เพียรพิทักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,667 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7178/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษความผิดหลายกระทงจากครอบครองอาวุธปืน, กระสุนปืน, และยาเสพติด
การมีอาวุธปืนในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตและการมีกระสุนปืนที่นายทะเบียนอนุญาตให้มีในครอบครองไม่ได้ กฎหมายบัญญัติบทความผิดและบทลงโทษไว้คนละมาตรา ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่ามีความประสงค์จะแยกความผิดสองฐานนี้ออกจากกัน และการกระทำความผิดสองฐานดังกล่าวแยกออกได้จากการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครอง ดังนี้แม้จำเลยมีอาวุธปืน กระสุนปืนและเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องในครอบครองในเวลาเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7159/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้างมลทินในวโรกาส 50 ปีครองราชย์ และผลต่อการบวกโทษคดีเก่า
ผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลที่จะได้รับการล้างมลทินและถือว่าไม่เคยถูกลงโทษในความผิดตามคำพิพากษาตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 มาตรา 4 นั้นนอกจากเป็นผู้ต้องโทษที่ได้กระทำผิดก่อนหรือในวันที่ 9 มิถุนายน 2539 แล้ว ยังต้องเป็นผู้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ 11 กันยายน 2539 อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ หรือในกรณีที่ผู้นั้นได้รับโทษตามคำพิพากษาอยู่ และยังไม่พ้นโทษในวันที่11 กันยายน 2539 ก็ต้องได้รับอภัยโทษปล่อยตัวหรือพ้นโทษออกมาตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ. 2539แล้วแต่กรณี การที่จำเลยต้องคำพิพากษาจำคุก 6 เดือนแต่รอการลงโทษไว้ จำเลยจึงยังมิได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา กรณีของจำเลยจึงมิใช่ผู้ต้องโทษตามความหมายของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจำเลยย่อมไม่ได้รับผลตามพระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษเช่นเดียวกัน จำเลยฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยไว้แล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้และเมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรให้รอการลงโทษให้แก่จำเลยและกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติไว้ แต่เพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบเห็นสมควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง และเมื่อรอการลงโทษจำคุกในคดีนี้ ย่อมไม่อาจนำโทษจำคุกในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7159/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงื่อนไขการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2539 ผู้ต้องโทษต้องพ้นโทษก่อนหรือพร้อมกับวันบังคับใช้
ผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลที่จะได้รับการล้างมลทินและถือว่าไม่เคยถูกลงโทษในความผิดตามคำพิพากษาตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปีพ.ศ.2539 มาตรา 4 นั้น นอกจากเป็นผู้ต้องโทษที่ได้กระทำผิดก่อนหรือในวันที่ 9มิถุนายน 2539 แล้ว ยังต้องเป็นผู้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ 11 กันยายน 2539อันเป็นวันที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลใช้บังคับ หรือในกรณีที่ผู้นั้นได้รับโทษตามคำพิพากษาอยู่ และยังไม่พ้นโทษในวันที่ 11 กันยายน 2539 ก็ต้องได้รับอภัยโทษปล่อยตัวหรือพ้นโทษออกมาตาม พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2539 แล้วแต่กรณี การที่จำเลยต้องคำพิพากษาจำคุก 6 เดือน แต่รอการลงโทษไว้ จำเลยจึงยังมิได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา กรณีของจำเลยจึงมิใช่ผู้ต้องโทษตามความหมายของมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าว จำเลยย่อมไม่ได้รับผลตาม พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษเช่นเดียวกัน
จำเลยฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยไว้แล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้และเมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรให้รอการลงโทษให้แก่จำเลยและกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติไว้ แต่เพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบ เห็นสมควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง และเมื่อรอการลงโทษจำคุกในคดีนี้ ย่อมไม่อาจนำโทษจำคุกในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7133/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากการที่ผู้โดยสารตกจากรถโดยสารประจำทาง: พิจารณาเหตุแห่งการกระทำ
โจทก์ร่วมลงจากรถโดยสารประจำทางในขณะที่รถยังเคลื่อนตัว ทำให้โจทก์ร่วมเสียหลักล้มลงได้รับอันตรายแก่กายสาหัส การได้รับอันตรายแก่กายของโจทก์ร่วมจึงเป็นเพราะโจทก์ร่วม ลงจากรถเอง มิใช่เพราะประตูรถคันเกิดเหตุที่จำเลยขับ ชำรุดปิดไม่ได้ จำเลยไม่ได้กระทำผิดฐานประมาทเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส การที่โจทก์ร่วมเสียหลักล้มขณะลงจากรถโดยสารประจำทางคันเกิดเหตุมิใช่เกิดจากจำเลยไม่หยุดรถที่ป้ายจอดรถโดยสารประจำทางและเข้าเกียร์กระชากอย่างแรงตามที่โจทก์กล่าวอ้างจำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ประกอบมาตรา 157 การที่โจทก์ร่วมเสียหลัก ล้มขณะลงมาจากรถโดยสารประจำทาง ศีรษะของโจทก์ร่วม ฟาดกับขอบพื้นทางเท้าและขาข้างซ้ายถูกล้อรถโดยสารประจำทางคันเกิดเหตุทับได้รับอันตรายสาหัสในทันที การที่จำเลยไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่ใช่เหตุโดยตรงที่ทำให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส จำเลยคงมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 78 ประกอบมาตรา 160 วรรคหนึ่ง เท่านั้น ไม่มีความผิดตามมาตรา 78ประกอบมาตรา 160 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7064/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดอำนาจฎีกาซ้ำในคดีเดิม: คดีจำเลยรับสารภาพผิด พ.ร.บ.ยาเสพติด แต่พ้นข้อหาขับรถภายใต้ยาเสพติด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43ทวิ, 157 ทวิ ป.อ.มาตรา 91 และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือนการที่จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนในขณะขับรถยนต์นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2539เป็นต้นไป อันเป็นวันที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 97 (พ.ศ.2539)มีผลบังคับ จึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา43 ทวิ ไม่อาจนำมาตรา 157 ทวิ มาบังคับใช้กับกรณีนี้ได้อีก คำขอนอกจากนี้ให้ยกศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157 ทวิวรรคหนึ่ง แล้ว โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยและให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยในความผิดข้อหาดังกล่าวอีกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ก็ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7064/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อหาจราจร เนื่องจากศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ยกฟ้องแล้ว การฎีกาซ้ำจึงขัดต่อกฎหมาย
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง,157 ทวิ วรรคหนึ่งและให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย ซึ่งความผิดข้อหาดังกล่าว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดข้อหาดังกล่าวอีกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7047/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการรอการลงโทษและคุมความประพฤติหลังตรวจพบสารเสพติด จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือน และปรับ 10,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด 1 ปี ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาททุกชนิด และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ต่อมามีการตรวจพบสารเสพติดให้โทษประเภทเมทแอมเฟตามีนในปัสสาวะของจำเลย ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งยกเลิกการคุมประพฤติและเปลี่ยนโทษจากรอการลงโทษจำคุกเป็นไม่รอการลงโทษ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ดังนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมเป็นที่สุด ตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคสอง จำเลยจะฎีกาไม่ได้ แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกา และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6963/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างฐานกระทำผิดระเบียบบริษัทจากการรับแทงพนันในที่ทำงาน แม้เจ้ามืออยู่นอกสถานที่
โจทก์รับแทงสลากกินรวบจากเพื่อนร่วมงานในสถานที่ทำงาน ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้จัดการให้มีการเล่นพนันสลากกินรวบอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ. 2478 มาตรา 12 แม้เจ้ามือผู้รับแทงซึ่งภริยาโจทก์นำโพยสลากกินรวบจากโจทก์ไปส่งจะอยู่นอกบริเวณโรงงานจำเลยก็ตาม การกระทำความผิดของโจทก์ก็เกิดขึ้น ณ สถานที่ทำงานดังกล่าว ดังนั้น การที่โจทก์รับแทงสลากกินรวบจากเพื่อนร่วมงานในสถานที่ทำงานจึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของบริษัทจำเลยซึ่งเป็นกรณีร้ายแรง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายจำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย เงินรางวัลประจำปีและค่าเสียหายแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่ไม่ชอบ การพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ และผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม
ตามคำฟ้องโจทก์ระบุที่ตั้งของจำเลยอยู่บ้านเลขที่ 210จังหวัดชลบุรี หรือสำนักงานใหญ่ อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ชั้น 20และ 21 เลขที่ 191 กรุงเทพมหานคร แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 191 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ชั้น 20 และ 21 กรุงเทพมหานคร เพียงแห่งเดียวโดยไม่ปรากฏว่ามีสาขาอื่น เมื่อการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ให้จำเลยเฉพาะที่ตั้งอยู่เลขที่ 210 แห่งเดียวโดยมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยณ ที่สำนักงานใหญ่ของจำเลย แต่ตอนส่งคำบังคับตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลับมีการส่งให้จำเลยที่สำนักงานใหญ่ของจำเลยและส่งได้ จำเลยจึงทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้ ดังนี้ เมื่อจำเลยมิได้มีสำนักงานสาขาตั้งอยู่เลขที่ 210 กรณีจึงถือไม่ได้ว่าได้มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยชอบ กระบวนพิจารณาคดีของศาลแรงงานภายหลังต่อมาไปจนถึงมีคำพิพากษาจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกาให้ศาลแรงงานดำเนินการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยใหม่และพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียก/สำเนาคำฟ้องไม่ชอบ กรณีจำเลยมีสำนักงานใหญ่แห่งเดียว การพิจารณาคดีเป็นโมฆะ
ตามคำฟ้องโจทก์ระบุที่ตั้งของจำเลยอยู่บ้านเลขที่ 210 จังหวัดชลบุรี หรือสำนักงานใหญ่ อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ชั้น 20 และ 21 เลขที่ 191กรุงเทพมหานคร แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 191อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 20 และ 21 กรุงเทพมหานคร เพียงแห่งเดียวโดยไม่ปรากฏว่ามีสาขาอื่น เมื่อการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยเฉพาะที่ตั้งอยู่เลขที่ 210 แห่งเดียว โดยมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยณ ที่สำนักงานใหญ่ของจำเลย แต่ตอนส่งคำบังคับตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลับมีการส่งให้จำเลยที่สำนักงานใหญ่ของจำเลยและส่งได้ จำเลยจึงทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้ ดังนี้ เมื่อจำเลยมิได้มีสำนักงานสาขาตั้งอยู่เลขที่ 210 กรณีจึงถือไม่ได้ว่าได้มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยชอบ กระบวนพิจารณาคดีของศาลแรงงานภายหลังต่อมาไปจนถึงมีคำพิพากษาจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกาให้ศาลแรงงานดำเนินการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยใหม่ และพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
of 467