พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,667 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาศาลฎีกาเนื่องจากข้อผิดพลาดในการระบุตัวจำเลย
คู่ความที่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1คือ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาคำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวถึงจำเลยที่ 2 เป็นเพราะการพิมพ์ผิดพลาด หาใช่ผิดพลาดในเนื้อหาสาระไม่ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดเช่นนี้ให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 190
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขยายระยะเวลาอุทธรณ์คดีแรงงาน: พิจารณาความจำเป็นและประโยชน์แห่งความยุติธรรม ไม่ใช่พฤติการณ์พิเศษ
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 26 บัญญัติให้ระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่ศาลแรงงานได้กำหนด ศาลแรงงานมีอำนาจย่นหรือขยายได้ตามความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แสดงให้เห็นว่าในการขยายระยะเวลาอุทธรณ์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่งนั้น มาตรา 26ได้วางหลักเกณฑ์ว่าจะกระทำได้เมื่อมีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หาได้กำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะต้องมีพฤติการณ์พิเศษเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ไม่ ฉะนั้น การที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า พฤติการณ์ตามคำร้องของจำเลยมิใช่พฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้นั้นเท่ากับศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่าคดียังไม่มีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยนั่นเอง เมื่อศาลแรงงานกลางอ่านคำพิพากษาในวันที่ 1 กันยายน 2540 ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถ่ายคำพิพากษาวันที่ 2 กันยายน 2540 และแจ้งให้จำเลยทราบพร้อมทั้งแจ้งฐานะคดีเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2540 เพื่อขอคำยืนยันจากจำเลยว่าจะอุทธรณ์หรือไม่ ดังนี้ แม้ทนายจำเลยจะยังไม่ได้รับคำยืนยันในหนังสือจากจำเลย หากทนายจำเลยจะยังไม่ได้รับ คำยืนยันเป็นหนังสือจากจำเลย หากทนายจำเลยเห็นว่าคดีมี เหตุควรอุทธรณ์ก็น่าจะอุทธรณ์ไปก่อนได้ เพราะทนายจำเลยมี อำนาจกระทำได้อยู่แล้วตามใบแต่งทนายทั้งไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างใด การที่ทนายจำเลยไม่ได้รับแจ้งจากจำเลยว่าจะอุทธรณ์หรือไม่ดังกล่าวเป็นความบกพร่องของฝ่ายจำเลยเอง ถือไม่ได้ว่าคดีมีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลแรงงานกลางจะพึงขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาอุทธรณ์ในคดีแรงงาน: ศาลใช้ดุลพินิจตามความจำเป็นและประโยชน์แห่งความยุติธรรม
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 26 ได้บัญญัติในกรณีขยายระยะเวลาอุทธรณ์ไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำ ป.วิ.พ.มาตรา 23 ซึ่งเป็นบทบัญญัติทั่วไปมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา 31แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ได้ และระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯหรือตามที่ศาลแรงงานได้กำหนด ศาลแรงงานมีอำนาจย่นหรือขยายได้ตามความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แสดงว่า ในการขยายระยะเวลาอุทธรณ์ตามที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54วรรคหนึ่ง จะกระทำได้เมื่อมีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หาได้กำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะต้องมีพฤติการณ์พิเศษเช่นที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 23 ไม่
ศาลแรงงานมีคำสั่งในคดีนี้ว่า พฤติการณ์ตามคำร้องของจำเลยมิใช่พฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้นั้นเท่ากับศาลแรงงานได้วินิจฉัยแล้วว่าคดียังไม่มีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะขยายระยะ-เวลาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยนั่นเอง
คดีนี้ศาลแรงงานอ่านคำพิพากษาในวันที่ 1 กันยายน 2540ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถ่ายคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2540 และแจ้งให้จำเลยทราบพร้อมทั้งแจ้งฐานะคดีเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2540 เพื่อขอคำยืนยันจากจำเลยว่าจะอุทธรณ์หรือไม่ ดังนี้ แม้ทนายจำเลยจะยังไม่ได้รับคำยืนยันเป็นหนังสือจากจำเลย หากทนายจำเลยเห็นว่าคดีมีเหตุควรอุทธรณ์ก็น่าจะอุทธรณ์ไปก่อนได้ เพราะทนายจำเลยมีอำนาจกระทำได้อยู่แล้วตามใบแต่งทนาย ทั้งไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างใด การที่ทนายจำเลยไม่ได้รับแจ้งจากจำเลยว่าจะอุทธรณ์หรือไม่ดังกล่าว นับว่าเป็นความบกพร่องของฝ่ายจำเลยเอง ถือไม่ได้ว่าคดีมีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลแรงงานจะพึงขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้จำเลย
ศาลแรงงานมีคำสั่งในคดีนี้ว่า พฤติการณ์ตามคำร้องของจำเลยมิใช่พฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้นั้นเท่ากับศาลแรงงานได้วินิจฉัยแล้วว่าคดียังไม่มีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะขยายระยะ-เวลาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยนั่นเอง
คดีนี้ศาลแรงงานอ่านคำพิพากษาในวันที่ 1 กันยายน 2540ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถ่ายคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2540 และแจ้งให้จำเลยทราบพร้อมทั้งแจ้งฐานะคดีเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2540 เพื่อขอคำยืนยันจากจำเลยว่าจะอุทธรณ์หรือไม่ ดังนี้ แม้ทนายจำเลยจะยังไม่ได้รับคำยืนยันเป็นหนังสือจากจำเลย หากทนายจำเลยเห็นว่าคดีมีเหตุควรอุทธรณ์ก็น่าจะอุทธรณ์ไปก่อนได้ เพราะทนายจำเลยมีอำนาจกระทำได้อยู่แล้วตามใบแต่งทนาย ทั้งไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างใด การที่ทนายจำเลยไม่ได้รับแจ้งจากจำเลยว่าจะอุทธรณ์หรือไม่ดังกล่าว นับว่าเป็นความบกพร่องของฝ่ายจำเลยเอง ถือไม่ได้ว่าคดีมีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลแรงงานจะพึงขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายไม้ การส่งมอบไม้ไม่ครบถ้วน ไม่เข้าข่ายฉ้อโกง แต่เป็นผิดสัญญา
แม้ขณะจำเลยทำสัญญาขายไม้ไข่เขียวให้แก่โจทก์ร่วมจำเลยจะไม่ใช่ผู้รับสัมปทานทำไม้ในอ่างเก็บน้ำป่าพยอมโดยตรงตามที่อ้างต่อโจทก์ร่วมก็ตาม แต่จำเลยก็ได้เข้าทำไม้และทำสัญญาซื้อไม่ไข่เขียวจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ไว้พอที่จะขายให้แก่โจทก์ร่วมตามจำนวนที่โจทก์ร่วมตกลงซื้อไว้แล้ว ดังนั้น การที่จำเลยตกลงทำสัญญาขายไม้ไข่เขียวให้โจทก์ร่วม รับเงินค่าไม้ไปจากโจทก์ร่วมและส่งไม้ให้โจทก์ร่วมเพียง 2 ครั้ง ไม่ครบถ้วนตามสัญญาจึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง มิใช่เป็นการทุจริตหลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ร่วมอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8481/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกันตัวจำเลยถึงแก่ความตายก่อนนัด - ผู้ประกันไม่ต้องรับผิด
เมื่อจำเลยตายตั้งแต่ก่อนถึงวันนัดพิจารณาคดีของศาล ผู้ประกันจำเลยจะรู้หรือไม่รู้ว่าจำเลยตายจริงหรือไม่ หรือผู้ประกันจำเลยจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจที่จะนำจำเลยมาศาลตามนัดหรือไม่ ก็ไม่มีทางที่ผู้ประกันจำเลยจะนำตัวจำเลยมาส่งศาลได้ การที่ผู้ประกันจำเลยไม่นำตัวจำเลยมาศาลตามนัดในเวลาต่อมาจึงไม่ใช่ความผิดของผู้ประกันจำเลย ผู้ประกันจำเลยจึงไม่ผิดสัญญาประกันศาลปรับผู้ประกันจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8481/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ประกันเมื่อจำเลยเสียชีวิตก่อนวันนัด ศาลไม่สามารถปรับผู้ประกันได้
เมื่อ จำเลย ตาย ตั้งแต่ ก่อน วันนัด พิจารณา คดี ของ ศาล ผู้ประกัน จำเลย จะ รู้ หรือไม่ รู้ ว่า จำเลย ตาย จริง หรือไม่ หรือ ผู้ประกัน จำเลย จะ ตั้งใจ หรือไม่ ตั้งใจ ที่ จะ นำ จำเลย มา ศาล ตาม นัด หรือไม่ ก็ ไม่มี ทาง ที่ ผู้ประกัน จำเลย จะ นำตัว จำเลย มา ส่ง ศาล ได้ การ ที่ ผู้ประกัน จำเลย มา ศาล ตาม นัด ใน เวลา ต่อมา จึง ไม่ใช่ ความผิด ของ ผู้ประกัน จำเลย ผู้ประกัน จำเลย จึง ไม่ผิด สัญญาประกัน ศาล ปรับ ผู้ประกัน จำเลย ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8340/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องจากพยายามฆ่าเป็นฆ่า: อำนาจโจทก์และผลกระทบต่อจำเลย
ตามคำฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ได้บรรยายการกระทำของ จำเลยกับพวกว่าได้ใช้ไม้เป็นอาวุธทุบตีและใช้กำลังชกต่อยผู้เสียหายที่อวัยวะสำคัญขณะยื่นฟ้องโจทก์ไม่ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตาย ย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่จะฟ้องจำเลยว่ากระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น ต่อมาเมื่อโจทก์ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเป็นผลสืบเนื่องจากบาดแผลที่ถูกทำร้าย ซึ่งเป็นการกระทำเดียวกันกับคำฟ้องเพียงแต่แก้ไขผลของการกระทำที่ต่อเนื่องกันมาเช่นนี้โจทก์ย่อมมีอำนาจขอแก้ฟ้องจากการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายเป็นฆ่าผู้เสียหาย และขอแก้บทลงโทษจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,83,288 เป็นมาตรา 83,288,297 ได้ เพราะการแก้หรือเพิ่มเติมฐานความผิดไม่ว่าจะทำในระยะใดระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้น มิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ ทั้งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยให้การปฏิเสธคำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์จึงไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้ในข้อหาที่มิได้กล่าวไว้นั้น การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8340/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ฟ้องจากพยายามฆ่าเป็นฆ่าผู้อื่น: ศาลอนุญาตได้หากไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ
ตามคำฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ได้บรรยายการกระทำของจำเลยกับพวกว่าได้ใช้ไม้เป็นอาวุธทุบตีและใช้กำลังชกต่อยผู้เสียหายที่อวัยวะสำคัญขณะยื่นฟ้องโจทก์ไม่ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตาย ย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่จะฟ้องจำเลยว่ากระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น ต่อมาเมื่อโจทก์ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเป็นผลสืบเนื่องจากบาดแผลที่ถูกทำร้าย ซึ่งเป็นการกระทำเดียวกันกับคำฟ้อง เพียงแต่แก้ไขผลของการกระทำที่ต่อเนื่องกันมาเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจขอแก้ฟ้องจากการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายเป็นฆ่าผู้เสียหาย และขอแก้บทลงโทษจาก ป.อ.มาตรา 80,83, 288 เป็นมาตรา 83, 288, 297 ได้ เพราะการแก้หรือเพิ่มเติมฐานความผิดไม่ว่าจะทำในระยะใดระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้น มิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบทั้งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยให้การปฏิเสธ คำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์จึงไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้ในข้อหาที่มิได้กล่าวไว้นั้น การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 27 ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7873/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาจากการบรรทุกน้ำหนักเกินขนาด และเหตุผลความจำเป็นส่วนตัวที่ไม่เพียงพอต่อการรอการลงโทษ
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงคันเกิดเหตุบรรทุกทรายมีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด 38,800 กิโลกรัม แล่นไปตามทางหลวงแผ่นดิน เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางหลวงแผ่นดิน ซึ่งได้รับการออกแบบและก่อสร้างให้สามารถรองรับน้ำหนักได้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดมากจนเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานตามปกติ การกระทำดังกล่าวของจำเลยแสดงให้เห็นว่า จำเลยมุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือผลประโยชน์ของนายจ้างจำเลยเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินส่วนรวมและไม่นำพาต่อสวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมใช้เส้นทางสัญจรไปมาซึ่งต้องเสี่ยงต่ออันตรายอันอาจเกิดจากสภาพถนนที่ชำรุดทรุดโทรมง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุ หรืออันตรายที่อาจจะเกิดจากสภาพรถยนต์ของจำเลยซึ่งบรรทุกน้ำหนักเป็นจำนวนมากจนเกินกว่าที่ผู้ขับจะควบคุมรถยนต์ได้อย่างปลอดภัย การที่จำเลยอ้างว่าจำต้องกระทำความผิดในครั้งนี้เพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือขัดคำสั่งของนายจ้าง มิฉะนั้นอาจต้องถูกไล่ออกจากงานอันจะทำให้จำเลยต้องขาดรายได้และหากจำเลยต้องจำคุกก็จะทำให้บุตร ภริยา ซึ่งไม่อาจหาเลี้ยงตนเองและต้องอาศัยจำเลยเพียงผู้เดียวหารายได้มาจุนเจือต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างมากนั้น เห็นได้ว่าเหตุต่าง ๆ ที่จำเลยยกขึ้นอ้างเป็นเพียงเหตุผลส่วนตัวของจำเลยเท่านั้น บุคคลทั่ว ๆ ไปในสถานะเช่นเดียวกันกับจำเลยก็มีภาระหน้าที่ไม่แตกต่างไปจากจำเลยจำเลยไม่อาจอ้างภาระความจำเป็นส่วนตัวเพื่อก่อภาระให้แก่สังคมโดยรวมได้ เหตุต่าง ๆ ที่จำเลยยกขึ้นอ้างนั้นจึงยังไม่เพียงพอที่จะนำมารับฟังเพื่อรอการลงโทษให้จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7873/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาจากการบรรทุกน้ำหนักเกินกฎหมาย และเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สามารถนำมาใช้รอการลงโทษได้
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงคันเกิดเหตุบรรทุกทรายมีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด 38,800 กิโลกรัม แล่นไปตามทางหลวงแผ่นดิน เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางหลวงแผ่นดิน ซึ่งได้รับการออกแบบและก่อสร้างให้สามารถรองรับน้ำหนักได้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดมากจนเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานตามปกติ การกระทำดังกล่าวของจำเลยแสดงให้เห็นว่า จำเลยมุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือผลประโยชน์ของนายจ้างจำเลยเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินส่วนรวมและไม่นำพาต่อสวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมใช้เส้นทางสัญจรไปมาซึ่งต้องเสี่ยงต่ออันตรายอันอาจเกิดจากสภาพถนนที่ชำรุดทรุดโทรมง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุ หรืออันตรายที่อาจจะเกิดจากสภาพรถยนต์ของจำเลยซึ่งบรรทุกน้ำหนักเป็นจำนวนมากจนเกินกว่าที่ผู้ขับจะควบคุมรถยนต์ได้อย่างปลอดภัย การที่จำเลยอ้างว่าจำต้องกระทำความผิดในครั้งนี้เพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือขัดคำสั่งของนายจ้าง มิฉะนั้นอาจต้องถูกไล่ออกจากงานอันจะทำให้จำเลยต้องขาดรายได้และหากจำเลยต้องจำคุกก็จะทำให้บุตร ภริยา ซึ่งไม่อาจหาเลี้ยงตนเองและต้องอาศัยจำเลยเพียงผู้เดียวหารายได้มาจุนเจือต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างมากนั้น เห็นได้ว่าเหตุต่าง ๆ ที่จำเลยยกขึ้นอ้างเป็นเพียงเหตุผลส่วนตัวของจำเลยเท่านั้น บุคคลทั่ว ๆ ไปในสถานะเช่นเดียวกันกับจำเลยก็มีภาระหน้าที่ไม่แตกต่างไปจากจำเลยจำเลยไม่อาจอ้างภาระความจำเป็นส่วนตัวเพื่อก่อภาระให้แก่สังคมโดยรวมได้ เหตุต่าง ๆ ที่จำเลยยกขึ้นอ้างนั้นจึงยังไม่เพียงพอที่จะนำมารับฟังเพื่อรอการลงโทษให้จำเลยได้