พบผลลัพธ์ทั้งหมด 95 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 866/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบในคดีหนี้ร่วมสามีภริยา: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าเป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1482
โจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปใช้จ่ายในครอบครัว เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากัน แม้จะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน แต่หนี้ที่จะเกิดขึ้นแก่สามีหรือภริยาในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันย่อมมีหลายชนิดด้วยกัน และเฉพาะแต่หนี้บางชนิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 เท่านั้น จึงจะเป็นหนี้ร่วม ฉะนั้น เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วมเพื่อจะให้ผู้ร้องต้องรับผิดใช้หนี้จากสินสมรสและสินเดิม โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบมูลเหตุการกู้เงิน และการฟ้องภริยาต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างสมรส
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปทำการค้าค้างดอกเบี้ย โจทก์จึงเอาดอกเบี้ยและต้นเงินรวมกันทำสัญญากู้ไว้ ดังนี้ เป็นการนำสืบถึงมูลเหตุที่นำมาสู่การทำสัญญากู้เงิน เพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจริง และได้มีการตกลงกันให้ถือว่าจำเลยได้รับเงินแล้วอย่างไร ดังนี้ ย่อมสืบได้หาเป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ ทั้งโจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องกล่าวอ้างตั้งประเด็นเรื่องที่นำสืบนั้นมาในฟ้องด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 และเป็นหนี้ก่อขึ้นระหว่างสมรส เป็นหนี้ร่วม จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดใช้หนี้โจทก์ด้วย ดังนี้ เห็นได้ว่าคำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า "เป็นหนี้ร่วม" ก็หมายถึงหนี้ดังระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 (1) (2) (3) (4) ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ ไม่เคลือบคลุม ส่วนจะเป็นหนี้ร่วมชนิดใดนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไปในชั้นพิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 และเป็นหนี้ก่อขึ้นระหว่างสมรส เป็นหนี้ร่วม จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดใช้หนี้โจทก์ด้วย ดังนี้ เห็นได้ว่าคำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า "เป็นหนี้ร่วม" ก็หมายถึงหนี้ดังระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 (1) (2) (3) (4) ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ ไม่เคลือบคลุม ส่วนจะเป็นหนี้ร่วมชนิดใดนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไปในชั้นพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบถึงมูลเหตุการกู้เงินและการระบุหนี้ร่วมในฟ้อง ไม่เคลือบคลุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปทำการค้าค้างดอกเบี้ย โจทก์จึงเอาดอกเบี้ยและต้นเงินรวมกันทำสัญญากู้ไว้ ดังนี้ เป็นการนำสืบถึงมูลเหตุที่นำมาสู่การทำสัญญากู้เงินเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจริง และได้มีการตกลงกันให้ถือว่าจำเลยได้รับเงินแล้วอย่างไร ดังนี้ ย่อมสืบได้หาเป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ ทั้งโจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องกล่าวอ้างตั้งประเด็นเรื่องที่นำสืบนั้นมาในฟ้องด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า "จำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 และเป็นหนี้ก่อขึ้นระหว่างสมรส เป็นหนี้ร่วม จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดใช้หนี้โจทก์ด้วยดังนี้ เห็นได้ว่าคำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า "เป็นหนี้ร่วม" ก็หมายถึงหนี้ดังระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482(1)(2)(3)(4)ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม ส่วนจะเป็นหนี้ร่วมชนิดใดนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไปในชั้นพิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า "จำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 และเป็นหนี้ก่อขึ้นระหว่างสมรส เป็นหนี้ร่วม จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดใช้หนี้โจทก์ด้วยดังนี้ เห็นได้ว่าคำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า "เป็นหนี้ร่วม" ก็หมายถึงหนี้ดังระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482(1)(2)(3)(4)ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม ส่วนจะเป็นหนี้ร่วมชนิดใดนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไปในชั้นพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1613/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้ในฐานะผู้จัดการมรดกและภริยา ความรับผิดในฐานะผู้รับมรดก
สามีจำเลยเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์อยู่แล้วถึงแก่กรรมจำเลยทำหนังสือรับใช้หนี้ให้แก่โจทก์มีข้อความว่า "ข้าพเจ้าขอให้สัญญาในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นภริยาและผู้จัดการมรดกนายไสว ทวีการ ต่อธนาคารว่า ข้าพเจ้าจะนำเงินมาผ่อนชำระให้แก่ธนาคาร" ดังนี้ แสดงว่าจำเลยมิใช่ลูกหนี้โจทก์โดยตรง จำเลยเพียงแต่ทำหนังสือรับใช้หนี้โจทก์ในฐานะที่จำเลยเป็นภริยาซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกนายไสว ทวีการ ผู้ตายลูกหนี้โจทก์เท่านั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
เมื่อจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ดังกล่าวข้างต้นอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ที่มิให้เจ้าหนี้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่ความตายของเจ้ามรดกนั้น จึงสะดุดหยุดลง และต้องตั้งต้นนับใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้จากการกู้เงินอันมีกำหนด 10 ปี
เมื่อจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ดังกล่าวข้างต้นอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ที่มิให้เจ้าหนี้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่ความตายของเจ้ามรดกนั้น จึงสะดุดหยุดลง และต้องตั้งต้นนับใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้จากการกู้เงินอันมีกำหนด 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1613/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดในหนี้ของสามีผู้ตาย: อายุความและขอบเขตความรับผิดของผู้รับมรดก
สามีจำเลยเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์อยู่แล้วถึงแก่กรรม จำเลยทำหนังสือรับใช้หนี้ให้แก่โจทก์มีข้อความว่า"ข้าพเจ้าขอให้สัญญาในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นภริยาและผู้จัดการมรดกนายไสว ทวีการ ต่อธนาคารว่า ข้าพเจ้าจะนำเงินมาผ่อนชำระให้แก่ธนาคาร....." ดังนี้แสดงว่าจำเลยมิใช่ลูกหนี้โจทก์โดยตรง จำเลยเพียงแต่ทำหนังสือรับใช้หนี้โจทก์ในฐานะที่จำเลยเป็นภริยาซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกนายไสว ทวีการ ผู้ตายลูกหนี้โจทก์เท่านั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว เมื่อจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ดังกล่าวข้างต้น อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ที่มิให้เจ้าหนี้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่ความตายของเจ้ามรดกนั้น จึงสะดุดหยุดลง และต้องตั้งต้นนับใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้จากการกู้เงินอันมีกำหนด 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมสามีภริยาหลังหย่า: การบังคับชำระหนี้ต่อทรัพย์สินส่วนตัว
หนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาได้มีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าต้องเป็นหนี้ที่ก่อขึ้นต้องตามที่บัญญัติไว้ 4 ประการ จึงให้ถือว่าเป็นหนี้ร่วมกัน ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในระหว่างที่จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นสามีภริยากัน ต้องสันนิษฐานว่าจำเลยกู้เงินโจทก์มาเพื่อใช้จ่ายในครอบครัวและเป็นหนี้ร่วมกันอันผู้ร้องขัดทรัพย์จะต้องชำระหนี้ด้วยเลย ดังนั้น เมื่อจำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายและแบ่งทรัพย์สินกันเสร็จเรียบร้อย โจทก์ก็ไม่มีอำนาจจะยึดห้องแถวอันตกเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ได้
จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยจดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมมีผลใช้ยันบุคคลภายนอกได้ด้วย
จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยจดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมมีผลใช้ยันบุคคลภายนอกได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมสามีภริยาหลังหย่า: การบังคับคดียึดทรัพย์สินที่แบ่งแล้วเป็นโมฆะ
หนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาได้มีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าต้องเป็นหนี้ที่ก่อขึ้นต้องตามที่บัญญัติไว้ 4 ประการ จึงให้ถือว่าเป็นหนี้ร่วมกัน ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในระหว่างที่จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นสามีภริยากันต้องสันนิษฐานว่าจำเลยกู้เงินโจทก์มาเพื่อใช้จ่ายในครอบครัวและเป็นหนี้ร่วมกันอันผู้ร้องขัดทรัพย์จะต้องชำระหนี้ด้วยเลย ดังนั้น เมื่อจำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย และแบ่งทรัพย์สินกันเสร็จเรียบร้อย โจทก์ก็ไม่มีอำนาจจะยึดห้องแถวอันตกเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ได้
จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยจดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมมีผลใช้ยันบุคคลภายนอกได้ด้วย.
จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หย่าขาดจากสามีภริยากันโดยจดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมมีผลใช้ยันบุคคลภายนอกได้ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินเดิมภริยาได้รับการคุ้มครองจากการยึดทรัพย์เพื่อชดใช้หนี้จากการกระทำละเมิดของสามี
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินเดิมของผู้ร้อง และโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านทั้งผู้ร้องแม้จะอุทธรณ์ แต่ก็มิได้คัดค้านในข้อนี้ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทมิใช่ของผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ
หนี้อันเกิดจากการที่สามีทำละเมิด มิใช่หนี้ร่วมอันภริยาจะต้องรับผิดด้วย เจ้าหนี้ของสามีจึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ที่เป็นสินเดิมของภริยา(อ้างฎีกาที่ 1250/2493 และที่ 1059/2495).
หนี้อันเกิดจากการที่สามีทำละเมิด มิใช่หนี้ร่วมอันภริยาจะต้องรับผิดด้วย เจ้าหนี้ของสามีจึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ที่เป็นสินเดิมของภริยา(อ้างฎีกาที่ 1250/2493 และที่ 1059/2495).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินเดิมของผู้ร้องคุ้มครองจากการยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้จากการกระทำละเมิดของสามี
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินเดิมของผู้ร้องและโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านทั้งผู้ร้องแม้จะอุทธรณ์ แต่ก็มิได้คัดค้านในข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทมิใช่ของผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ
หนี้อันเกิดจากการที่สามีทำละเมิดมิใช่หนี้ร่วมอันภริยาจะต้องรับผิดด้วย เจ้าหนี้ของสามีจึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ที่เป็นสินเดิมของภริยา(อ้างฎีกาที่ 1250/2493 และที่ 1059/2495)
หนี้อันเกิดจากการที่สามีทำละเมิดมิใช่หนี้ร่วมอันภริยาจะต้องรับผิดด้วย เจ้าหนี้ของสามีจึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ที่เป็นสินเดิมของภริยา(อ้างฎีกาที่ 1250/2493 และที่ 1059/2495)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินเดิมของภริยาเพื่อชำระหนี้สามี: ต้องเป็นหนี้ร่วมเท่านั้น
แม้สินเดิมของผู้ร้องจะเป็นสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากัน โจทก์ก็หามีสิทธินำยึดเพื่อขายทอดตลาด เอาเงินชำระหนี้ได้เสมอไปไม่ โจทก์จะนำยึดเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้ก็ต่อเมื่อหนี้ตามคำพิพากษานั้นเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 (อ้างฎีกาที่ 1792/2492, 1250/2493, 1059/2495, 460/2507)