พบผลลัพธ์ทั้งหมด 67 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4563/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงความคิดเห็นติชมโดยสุจริตถึงการทุจริตของนักการเมือง ไม่ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
หลังจากโจทก์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลแล้ว จำเลยได้พูดผ่านเครื่องกระจายเสียงต่อประชาชนว่า โจทก์เป็นคนขี้โกงเอาที่สาธารณประโยชน์เป็นของตนเอง คำกล่าวของจำเลยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์เอาที่สาธารณประโยชน์ไปเป็นของตนเอง โดยจำเลยแสดงความคิดเห็นประกอบว่าโจทก์ผู้กระทำการดังกล่าวเป็นคนขี้โกง ก็โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนต่อต้านการกระทำที่จำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมายมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องเอาที่สาธารณประโยชน์ในตำบลที่จำเลยอยู่อาศัยคืน และหากปรากฏว่าโจทก์โกงที่สาธารณประโยชน์เป็นของตนเอง โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตประชาชนไม่ควรไว้วางใจให้โจทก์เข้าไปมีส่วนร่วมบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วนตำบลแทนประชาชน และการเรียกร้องเอาที่สาธารณประโยชน์คืนเพื่อประโยชน์ของประชาชนและจำเลยเองด้วย จำเลยจึงมีความชอบธรรมที่จะเปิดเผยให้ประชาชนทราบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมตลอดจนแสดงความคิดเห็นติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งการกระทำดังกล่าวอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ และข้อความที่จำเลยกล่าวมีมูลความจริง มิใช่เป็นการเสกสรรปั้นแต่งเรื่องขึ้นใส่ร้ายโจทก์โดยไม่มีมูลความจริง การแสดงข้อความและความคิดเห็นของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยสุจริต จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา 329 (1) (3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การวิจารณ์พฤติกรรมผู้นำสหกรณ์และการเชื่อมโยงกับข้อกล่าวหาทุจริต
จำเลยที่ 2 ได้เขียนบทความเกี่ยวกับโจทก์ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ก.เปรียบเทียบโจทก์กับบุคคลอีกคนหนึ่งว่ามีจิตวิญญาณของครูโดยแท้ ส่วนโจทก์น่าจะเรียกว่าผู้รับจ้างสอนมากกว่า เพราะมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับบุคคลดังกล่าวราวฟ้ากับดินและข้อความที่ว่า อย่าไปบ้าจี้กับผู้นี้ (โจทก์) มากนักเพราะแทนที่จะส่งเสริมให้สหกรณ์เจริญก้าวหน้ากลับจะเป็นการฉุดรั้งความก้าวหน้ากับข้อความว่า โจทก์สมัครเข้าเป็นสมาชิกร้านสหกรณ์ พ. อีกแห่งหนึ่ง หลังเข้ามากวนน้ำให้ขุ่นอย่างมีวัตถุประสงค์อะไรน่าระอาเต็มทนกับพฤติกรรมของคนประเภทนี้เป็นการเปรียบเทียบและมีความหมายให้ผู้อื่นที่ได้อ่าน ได้ยินหรือได้ฟังเกิดความรู้สึกและเข้าใจต่อตัวโจทก์ว่ามีพฤติกรรมไปในทางไม่ดี ไม่เหมาะสมที่จะเป็นครูน่าจะเรียกว่าผู้รับจ้างสอนและเป็นผู้ทำลายวงการสหกรณ์ น่าระอากับพฤติกรรมของโจทก์แม้ข้อความบางตอนเป็นการชี้แจงตอบโต้ถึงเรื่องที่โจทก์กล่าวหาอันพอจะถือได้ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม แต่การที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นการตอบโต้ถึงเรื่องที่โจทก์มักจะกล่าวโจมตีผู้อื่นและร้องเรียนผู้อื่นต่อนายทะเบียนสหกรณ์ซึ่งไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เป็นเรื่องของผู้ที่ถูกร้องเรียนกล่าวหาจะแสดงความคิดเห็นหรือข้อความเพื่อป้องกันส่วนได้เสียของตนเอง แม้บทความของจำเลยที่ 2 จะชี้แจงถึงระบบสหกรณ์อยู่ด้วย แต่เมื่ออ่านประกอบกันแล้วถือไม่ได้ว่าเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเผยแพร่ข่าวเท็จทำลายชื่อเสียงผู้อื่น มิใช่การติชมด้วยความเป็นธรรม ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอาญา
การเสนอข่าวในหนังสือพิมพ์ที่จำเลยที่1เป็น บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาโดยยืนยันข้อเท็จจริงในทำนองว่าโจทก์เกี่ยวพันกับการค้าเฮโรอีนและโจทก์ถูกระงับวีซ่าหรือห้ามเข้าประเทศ สหรัฐอเมริกาและประเทศ ออสเตรเลีย ซึ่งไม่เป็นความจริงมิใช่เพื่อป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนแต่อย่างใดเนื่องจากโจทก์มิได้กระทำการใดๆต่อจำเลยที่1ก่อนเมื่อจำเลยที่1เสนอข่าวยืนยันข้อเท็จจริงซึ่งไม่เป็นความจริงจึงมิใช่การติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยที่จำเลยที่1ในฐานะประชาชนมีสิทธิทำได้โดยต้องไม่กระทบกระเทือนสิทธิตามกฎหมายของผู้อื่นแต่ข้อความที่หนังสือพิมพ์ที่จำเลยที่1เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณาเสนอข่าวนั้นเป็นการเสนอข่าวโดยมุ่งหวังเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ซึ่งส่อแสดงเจตนาอันไม่สุจริตเนื่องจากได้เสนอข่าวติดต่อกันหลายวันหลายฉบับจำเลยที่1จึงไม่ได้รับยกเว้นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา329(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3725/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาท การฟังข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์ และเหตุเพื่อความชอบธรรมในการป้องกันตน
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193ทวิจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา194ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ไปที่ทำงานของโจทก์และด่าว่าโจทก์เนื่องจากพฤติการณ์ต่างๆระหว่างโจทก์กับสามีจำเลยทำให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์กับสามีจำเลยแต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีจำเลยจริงจึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงไม่ชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาดังนั้นแม้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าโจทก์มิได้ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีจำเลยศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย การที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีจำเลยไม่ก่อให้จำเลยเกิดสิทธิที่จะเข้าไปกล่าวประจานโจทก์ในที่ทำงานของโจทก์ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานของโจทก์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์เห็นได้ว่าจำเลยมุ่งประสงค์เพื่อให้โจทก์อับอายและทำลายชื่อเสียงของโจทก์ดังนั้นจำเลยจะยกเหตุเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมขึ้นเพื่อปฎิเสธความผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3725/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาท – การใช้ดุลพินิจในการลงโทษ – ข้อจำกัดการอุทธรณ์ – การฟังข้อเท็จจริง
คดีมีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย400บาทจึงต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจึงไม่ชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา การที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีจำเลยไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะไปกล่าวประจานโจทก์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้าจึงยกเหตุเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมขึ้นเพื่อปฏิเสธความผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3725/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์ และการประเมินเหตุเพื่อความชอบธรรมในคดีหมิ่นประมาท
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 194 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า วันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ไปที่ทำงานของโจทก์และด่าว่าโจทก์เนื่องจากพฤติการณ์ต่าง ๆ ระหว่างโจทก์กับสามีจำเลยทำให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์กับสามีจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีจำเลยจริง จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงไม่ชอบ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา ดังนั้นแม้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าโจทก์มิได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีจำเลย ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
การที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามี-จำเลย ไม่ก่อให้จำเลยเกิดสิทธิที่จะเข้าไปกล่าวประจานโจทก์ในที่ทำงานของโจทก์ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานของโจทก์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์ เห็นได้ว่าจำเลยมุ่งประสงค์เพื่อให้โจทก์อับอายและทำลายชื่อเสียงของโจทก์ ดังนั้น จำเลยจะยกเหตุเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมขึ้นเพื่อปฏิเสธความผิดไม่ได้
การที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามี-จำเลย ไม่ก่อให้จำเลยเกิดสิทธิที่จะเข้าไปกล่าวประจานโจทก์ในที่ทำงานของโจทก์ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานของโจทก์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์ เห็นได้ว่าจำเลยมุ่งประสงค์เพื่อให้โจทก์อับอายและทำลายชื่อเสียงของโจทก์ ดังนั้น จำเลยจะยกเหตุเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมขึ้นเพื่อปฏิเสธความผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3824/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงความคิดเห็นติชมด้วยความสุจริตเพื่อปกป้องผลประโยชน์วัด ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยเป็นกำนันและเป็นประธานกรรมการของวัดที่โจทก์เป็นเจ้าอาวาส เมื่อโจทก์เป็นผู้เก็บรักษาเงินรายได้ของวัดไว้เองและใช้จ่ายไปโดยไม่มีรายละเอียดประกอบกับน้องของโจทก์ซึ่งมีอาชีพค้าขายเล็กน้อย มีเงินซื้อที่ดินได้ถึง 100 ไร่ ซึ่งจำเลยเคยขอให้โจทก์ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเงินรายรับรายจ่ายของวัด แต่โจทก์ก็ไม่เคยชี้แจง การที่จำเลยทำหนังสือร้องเรียนส่งไปยังผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมและติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4960/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสีย ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
สภาตำบลซึ่งมีจำเลยเป็นประธานสภาเสนอโครงการสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก และได้รับอนุมัติ ต่อมาจำเลยทำหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมการปกครองกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งเป็นนายอำเภอพุนพินว่าเรียกร้องเงินค่าอนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างดังกล่าวจากจำเลยจำนวน 2,000 บาท ซึ่งตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่ามีการเรียกร้องและรับเงิน 2,000 บาทจากจำเลย ฉะนั้น การที่จำเลยทำหนังสือร้องเรียนดังกล่าวจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมในฐานะประธานสภาตำบลและราษฎรในตำบล กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(1) จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4960/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนและการยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาท
สภาตำบลซึ่งมีจำเลยเป็นประธานสภาเสนอโครงการสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก และได้รับอนุมัติ ต่อมาจำเลยทำหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมการปกครองกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งเป็นนายอำเภอว่าเรียกร้องเงินค่าอนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างดังกล่าวจากจำเลยจำนวน 2,000 บาท ซึ่งตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่ามีการเรียกร้องและรับเงิน 2,000 บาทจากจำเลย ฉะนั้นการที่จำเลยทำหนังสือร้องเรียนดังกล่าวจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมในฐานะประธานสภาตำบลและราษฎรในตำบล กรณีต้องด้วย ป.อ. มาตรา 329(1)จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4960/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องเรียนการเรียกรับเงินและการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน ไม่ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
สภาตำบลซึ่งมีจำเลยเป็นประธานสภาเสนอโครงการสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก และได้รับอนุมัติ ต่อมาจำเลยทำหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมการปกครองกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งเป็นนายอำเภอพุนพินว่าเรียกร้อง เงินค่าอนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างดังกล่าวจากจำเลยจำนวน 2,000 บาท ซึ่งตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่ามีการเรียกร้องและรับเงิน 2,000 บาทจากจำเลย ฉะนั้น การที่จำเลยทำหนังสือร้องเรียนดังกล่าวจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมในฐานะประธานสภาตำบลและราษฎรในตำบล กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท.