คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 243 (1)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 292 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4305/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมและอำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวน
ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) หรือไม่นั้น เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จะไม่ใช้อำนาจนั้นก็ได้ ประเด็นที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ซึ่งศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเองได้ ไม่ต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระสินบนนำจับร้อยละ 30 ของราคาสินค้า ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องเฉพาะแต่ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2ตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบจนเป็นผลให้จำเลยที่ 2 จับกุมสินค้าหรือผู้กระทำผิดได้ จำเลยที่ 2 จะจ่ายสินบนนำจับให้โจทก์ ส่วนเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 โจทก์คงบรรยายฟ้องแต่เพียงว่า หลังจากมีการจับกุมสินค้าหลบหนีภาษีรายนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ออกไปตรวจและนำสินค้าที่จับได้มอบให้กับจำเลยที่ 3 ดังนี้ความตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 แต่อย่างใด โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องสินบนนำจับจากจำเลยที่ 1 ที่ 3 เพราะเหตุใด คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงไม่ได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์ก็ไม่ได้มีเจตนาจะให้จำเลยที่ 2 รับผิดเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว เท่ากับโจทก์ไม่ประสงค์จะฎีกาในส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่มีต่อโจทก์ส่วนที่โจทก์จะขอถือเอาอุทธรณ์ข้อ 3 (ข) เป็นส่วนหนึ่งแห่งฎีกาด้วยนั้นโจทก์หาได้บรรยายข้อความดังกล่าวไว้ในฎีกาไม่ฎีกาของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4305/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมและการใช้อำนาจย้อนสำนวนของศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) หรือไม่นั้น เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จะไม่ใช้อำนาจนั้นก็ได้ ประเด็นที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ซึ่งศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเองได้ ไม่ต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระสินบนนำจับร้อยละ 30ของราคาสินค้า ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องเฉพาะแต่ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2ตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบจนเป็นผลให้จำเลยที่ 2 จับกุมสินค้าหรือผู้กระทำผิดได้ จำเลยที่ 2 จะจ่ายสินบนนำจับให้โจทก์ ส่วนเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 โจทก์คงบรรยายฟ้องแต่เพียงว่า หลังจากมีการจับกุมสินค้าหลบหนีภาษีรายนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ออกไปตรวจและนำสินค้าที่จับได้มอบให้กับจำเลยที่ 3 ดังนี้ความตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 แต่อย่างใด โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องสินบนนำจับจากจำเลยที่ 1 ที่ 3 เพราะเหตุใด คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงไม่ได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์ก็ไม่ได้มีเจตนาจะให้จำเลยที่ 2 รับผิดเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว เท่ากับโจทก์ไม่ประสงค์จะฎีกาในส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่มีต่อโจทก์ส่วนที่โจทก์จะขอถือเอาอุทธรณ์ข้อ 3(ข) เป็นส่วนหนึ่งแห่งฎีกาด้วยนั้นโจทก์หาได้บรรยายข้อความดังกล่าวไว้ในฎีกาไม่ฎีกาของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4272/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย เมื่อมีพยานหลักฐานเพียงพอ
คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า ส. เป็นลูกจ้างทำละเมิดในทางการที่จ้างหรือไม่ รถยนต์โจทก์เสียหายเพียงใด และคดีขาดอายุความหรือไม่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความ ประเด็นอื่นไม่ต้องวินิจฉัย พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความและเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ว่า ส. เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างหรือไม่กับค่าเสียหายมีเพียงใดเป็นประเด็นในคดีซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองได้นำสืบเสร็จสำนวนมาแล้วและพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4272/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนหากพยานหลักฐานเพียงพอ
คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า ส. เป็นลูกจ้างทำละเมิดในทางการที่จ้างหรือไม่ รถยนต์โจทก์เสียหายเพียงใด และคดีขาดอายุความหรือไม่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความ ประเด็นอื่นไม่ต้องวินิจฉัย พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความและเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ว่าส. เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างหรือไม่กับค่าเสียหายมีเพียงใดเป็นประเด็นในคดีซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองได้นำสืบเสร็จสำนวนมาแล้วและพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาให้เสร็จไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3912/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการใช้ที่ดินร่วมกัน และประเด็นการพิสูจน์ข้อตกลงในการใช้ทางเข้าออก
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์กับจำเลยร่วมกันซื้อ และเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยแต่เดิมโจทก์ยอมให้จำเลยใช้เป็นทางผ่าน ได้ชั่วคราวและบัดนี้จำเลยหมดความจำเป็นแล้วจำเลยให้การและ ฟ้องแย้งว่าได้ร่วมกับโจทก์ซื้อที่ดินตามฟ้อง แต่ตกลงกันไว้ว่า ให้กันที่ดินพิพาทไว้เป็นถนนเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกร่วมกันตลอดไป เนื่องจากที่ดินของจำเลยถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ ถนนสาธารณะที่ดินพิพาทด้านทิศใต้ที่อยู่ติดกับทางสาธารณะ มีกำแพงปิดอยู่เมื่อจำเลยแสดงเจตนาจะใช้ที่ดินพิพาททำเป็นถนน โจทก์คัดค้านไม่ให้จำเลยรื้อกำแพงและใช้สิทธิทำถนนเพื่อเป็นทาง เข้าออกอันเป็นการผิดข้อตกลงขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์หรือ บุคคลภายนอกรื้อถอนกำแพงโดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเอง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าที่ดินของจำเลยมีทางออกสู่ ทางสาธารณะโจทก์ไม่เคยตกลงกับจำเลยดังจำเลยฟ้องแย้ง ดังนี้คดีคงมีประเด็นเพียงว่าโจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันให้ใช้ ที่ดินพิพาทเป็นทางเข้าออกร่วมกันเป็นการถาวรตลอดไปหรือ เป็นการชั่วคราวไม่มีประเด็นเรื่องทางจำเป็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3912/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการใช้ที่ดินร่วมกัน และประเด็นการแบ่งที่ดินพิพาท โดยไม่มีประเด็นทางจำเป็น
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์กับจำเลยร่วมกันซื้อ และเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยแต่เดิมโจทก์ยอมให้จำเลยใช้เป็นทางผ่าน ได้ชั่วคราวและบัดนี้จำเลยหมดความจำเป็นแล้วจำเลยให้การและ ฟ้องแย้งว่าได้ร่วมกับโจทก์ซื้อที่ดินตามฟ้อง แต่ตกลงกันไว้ว่า ให้กันที่ดินพิพาทไว้เป็นถนนเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกร่วมกันตลอดไป เนื่องจากที่ดินของจำเลยถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ ถนนสาธารณะที่ดินพิพาทด้านทิศใต้ที่อยู่ติดกับทางสาธารณะ มีกำแพงปิดอยู่เมื่อจำเลยแสดงเจตนาจะใช้ที่ดินพิพาททำเป็นถนนโจทก์คัดค้านไม่ให้จำเลยรื้อกำแพงและใช้สิทธิทำถนนเพื่อเป็นทาง เข้าออกอันเป็นการผิดข้อตกลงขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์หรือ บุคคลภายนอกรื้อถอนกำแพงโดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเอง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าที่ดินของจำเลยมีทางออกสู่ ทางสาธารณะโจทก์ไม่เคยตกลงกับจำเลยดังจำเลยฟ้องแย้ง ดังนี้คดีคงมีประเด็นเพียงว่าโจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันให้ใช้ ที่ดินพิพาทเป็นทางเข้าออกร่วมกันเป็นการถาวรตลอดไปหรือ เป็นการชั่วคราวไม่มีประเด็นเรื่องทางจำเป็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1040/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอนาถาต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการสาบานตัวตามกฎหมาย มิฉะนั้นกระบวนการพิจารณาไม่ชอบ
โจทก์ยื่นคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาโดยมิได้มีการสาบานตัวให้คำชี้แจงว่าตนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดถ้อยคำสาบานไว้และส่งสำเนาไปให้อีกฝ่ายหนึ่งพร้อมกับคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์และเจ้าหน้าที่ศาลมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมฉะนั้นกระบวนพิจารณาในเรื่องการขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาทั้งหมดตลอดจนคำสั่งหรือคำพิพากษาในเรื่องนี้จึงไม่ชอบเมื่อความปรากฏขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้องแล้วไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1040/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอนาถาต้องปฏิบัติตามขั้นตอนสาบานตัวตามกฎหมาย หากไม่ปฏิบัติตามกระบวนการพิจารณาไม่ชอบ
โจทก์ยื่นคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาโดยมิได้มีการสาบานตัวให้คำชี้แจงว่าตนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดถ้อยคำสาบานไว้และส่งสำเนาไปให้อีกฝ่ายหนึ่งพร้อมกับคำฟ้อง เป็นเรื่องที่โจทก์และเจ้าหน้าที่ศาลมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ฉะนั้น กระบวนพิจารณาในเรื่องการขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาทั้งหมดตลอดจนคำสั่งหรือคำพิพากษาในเรื่องนี้จึงไม่ชอบ เมื่อความปรากฏขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้องแล้วไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การละเมิดสิทธิลูกจ้าง และการคำนวณค่าชดเชย
แม้การลงหมายเลขสมาชิกสหกรณ์ในใบเสร็จรับเงินสด จะมีผลให้พี่สาวโจทก์เจ้าของหมายเลขสมาชิกได้รับเงินปันผล หรือเงินเฉลี่ยคืน แต่เงินดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินของบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินนี้ เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกสหกรณ์ ของที่ซื้อจากร้านสหกรณ์ก็ได้นำไปใช้ในบริษัทจำเลยทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดนำไปใช้ส่วนตัว ทั้งมีราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปไม่ทำให้ บริษัทจำเลยเสียหายจากการซื้อสินค้านั้น ดังนั้น การที่บริษัทจำเลย ให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างนั้นหาเป็นการละเมิดตามกฎหมายไม่ หากแต่เป็นสิทธิของนายจ้างที่จะกระทำได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 การกระทำละเมิดอันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานนั้นต้องสืบเนื่องมาจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำการอย่างใดอันจะเป็นการละเมิดเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ ฉะนั้น ศาลแรงงานกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ
จำเลยอุทธรณ์เรื่องจำนวนค่าชดเชยว่าคำนวณไม่ถูกต้อง ข้ออุทธรณ์นี้จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีไว้แล้ว และศาลก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าชดเชยหรือไม่เพียงใด แต่ศาลแรงงานกลางมิได้หยิบยกขึ้นพิจารณาและการคำนวณค่าชดเชยนั้นยังโต้เถียงกันอยู่ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้แล้ว พิพากษาใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการพิจารณาค่าชดเชย: การกระทำที่ไม่เข้าข่ายละเมิดและอำนาจศาลแรงงาน
แม้การลงหมายเลขสมาชิกสหกรณ์ในใบเสร็จรับเงินสด จะมีผลให้พี่สาวโจทก์เจ้าของหมายเลขสมาชิกได้รับเงินปันผล หรือเงินเฉลี่ยคืนแต่เงินดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินของบริษัทจำเลยบริษัทจำเลยไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินนี้เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกสหกรณ์ ของที่ซื้อจากร้านสหกรณ์ก็ได้นำไปใช้ในบริษัทจำเลยทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดนำไปใช้ส่วนตัวทั้งมีราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปไม่ทำให้ บริษัทจำเลยเสียหายจากการซื้อสินค้านั้นดังนั้นการที่บริษัทจำเลย ให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิดเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม การที่นายจ้างเลิกจ้างนั้นหาเป็นการละเมิดตามกฎหมายไม่หากแต่เป็นสิทธิของนายจ้างที่จะกระทำได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 การกระทำละเมิด อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานนั้นต้องสืบเนื่อง มาจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน คดีนี้ไม่ ปรากฏว่าจำเลยกระทำการอย่างใดอันจะเป็นการละเมิดเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ฉะนั้นศาลแรงงานกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ จำเลยอุทธรณ์เรื่องจำนวนค่าชดเชยว่าคำนวณไม่ถูกต้องข้ออุทธรณ์นี้จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีไว้แล้วและศาลก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาท ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าชดเชยหรือไม่เพียงใด แต่ศาลแรงงานกลาง มิได้หยิบยกขึ้นพิจารณาและการคำนวณค่าชดเชยนั้นยังโต้เถียงกันอยู่ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้แล้ว พิพากษาใหม่ตามรูปคดี
of 30