คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 142 วรรคหนึ่ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 155 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5059/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมโอนรถยนต์ที่จำเลยรู้อยู่ว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ยักย้ายรถยนต์คันพิพาทจดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะบังคับให้ชำระหนี้ได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนโอนรถยนต์บรรทุกเป็นโมฆะ คำฟ้องของโจทก์พอจะเข้าใจได้ว่า โจทก์ร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 วรรคหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนรถยนต์คันพิพาทจึงไม่เป็นการเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4940/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทที่มิได้กำหนด & การนำสืบพยานหลักฐาน - การวินิจฉัยเกินกรอบคดี
แม้จำเลยจะได้ให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ แต่เมื่อคดีนี้มีการชี้สองสถานและศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท โดยโจทก์และจำเลยต่างไม่โต้แย้งคัดค้านเช่นนี้ จึงถือได้ว่าคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องนี้ระหว่างคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา และประเด็นข้อพิพาทข้อนี้เป็นคนละประเด็นกับที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยต้องชำระหนี้ให้โจทก์หรือไม่เพียงใด
โจทก์ได้แจ้งต่อศาลตลอดมาว่าเอกสารต่าง ๆ ตามที่จำเลยอ้างมานั้นมีจำนวนมากยังค้นหาไม่พบ ต่อมาโจทก์ได้ส่งเอกสารตามคำสั่งเรียกมาให้เป็นบางส่วน แสดงให้เห็นว่า โจทก์ยังค้นหาเอกสารไม่พบจริง ไม่มีเจตนาจะบิดพลิ้วไม่ส่งเอกสารแต่อย่างใด กรณีเช่นนี้จำเลยย่อมสามารถนำสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลได้ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 93 (2) กรณีไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 123 ที่จะถือว่าโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงตามเอกสารนั้นแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4940/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นหยิบยกขึ้นเองไม่ชอบ และการนำสืบพยานหลักฐานเมื่อโจทก์ไม่ส่งเอกสาร
แม้จำเลยที่ได้ให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แต่เมื่อคดีนี้มีการชี้สองสถานและศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทโดยโจทก์และจำเลยต่างไม่โต้แย้งคัดค้านเช่นนี้จึงถือได้ว่าคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องนี้ระหว่างคู่ความการที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาและประเด็นข้อพิพาทข้อนี้เป็นคนละประเด็นกับที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยต้องชำระหนี้ให้โจทก์หรือไม่เพียงใด โจทก์ได้แจ้งต่อศาลตลอดมาว่าเอกสารต่างๆตามที่จำเลยอ้างมานั้นมีจำนวนมากยังค้นไม่พบต่อมาโจทก์ได้ส่งเอกสารตามคำสั่งเรียกมาให้เป็นบางส่วนแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังค้นหาเอกสารไม่พบจริงไม่มีเจตนาจะบิดพลิ้วไม่ส่งเอกสารแต่อย่างใดกรณีเช่นนี้จำเลยย่อมสามารถนำสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา93(2)กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา123ที่จะถือว่าโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงตามเอกสารนั้นแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4369/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินเช่า กรณีจำเลยรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองร่วมกันเช่านาของ บ. ต่อมาผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่านา ในการนี้ผู้ให้เช่าจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้เช่าทุกคนไร่ละ 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 69,000 บาท และผู้ให้เช่ายกที่นาที่ให้เช่าบางส่วนเนื้อที่ 200 ตารางวา ให้แก่ผู้เช่าคนละ 50 ตารางวาจำเลยทั้งสองได้รับค่าทดแทนไปทั้งหมดและรับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่200 ตารางวา เป็นชื่อจำเลยที่ 2 คนเดียวโดยโจทก์ทั้งสองไม่รู้เห็น เมื่อโจทก์ทั้งสองทราบเรื่อง จึงขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธ คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเห็นได้ชัดแล้วว่าโจทก์ทั้งสองขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินที่ให้เช่านามอบให้แก่โจทก์ทั้งสองตามส่วนแต่จำเลยทั้งสองรับไว้แล้วไม่ยอมแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสองเอง ไม่ใช่เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การที่โจทก์ทั้งสองเสนอข้อพิพาทให้คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาวินิจฉัย และศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็หามีผลให้สิทธิของโจทก์ทั้งสองที่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้แบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องอาศัยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวเสียไปไม่ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ให้เช่านาได้จ่ายเงินค่าทดแทนและมอบที่ดินให้แก่ผู้เช่านาคือโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองรับเงินค่าทดแทนไว้แล้วและได้รับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไว้ในชื่อของจำเลยที่ 2 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสองได้หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4369/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดิน กรณีเช่านาและโอนกรรมสิทธิ์โดยไม่แบ่งให้ผู้เช่าร่วม
ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองร่วมกันเช่านาของนายบ. ต่อมาผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่านาในการนี้ผู้ให้เช่าจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้เช่าทุกคนไร่ละ1,000บาทรวมเป็นเงิน69,000บาทและผู้ให้เช่ายกที่นาที่ให้เช่าบางส่วนเนื้อที่200ตารางวาให้แก่ผู้เช่าคนละ50ตารางวาจำเลยทั้งสองได้รับค่าทดแทนไปทั้งหมดและรับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่200ตารางวาเป็นชื่อจำเลยที่2คนเดียวโดยโจทก์ทั้งสองไม่รู้เห็นเมื่อโจทก์ทั้งสองทราบเรื่องจึงขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองแต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเห็นได้ชัดแล้วว่าโจทก์ทั้งสองขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินที่ให้เช่ามอบให้แก่โจทก์ทั้งสองตามส่วนแต่จำเลยทั้งสองรับไว้แล้วไม่ยอมแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสองเองไม่ใช่เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมการที่โจทก์ทั้งสองเสนอข้อพิพาทให้คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาวินิจฉัยและศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายก็หามีผลให้สิทธิของโจทก์ทั้งสองที่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้แบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องอาศัยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวเสียไปไม่และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ให้เช่านาได้จ่ายเงินค่าทดแทนและมอบที่ดินให้แก่ผู้เช่านาคือโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองรับเงินค่าทดแทนไว้แล้วและได้รับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไว้ในชื่อของจำเลยที่2ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสองได้หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาโอนกรรมสิทธิ์และค่าตอบแทน: จำเลยผิดสัญญาเมื่อไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหลังรับค่าตอบแทนแล้ว
จำเลยได้ตกลงให้โจทก์ขยายระยะเวลาการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทหลังจากครบกำหนดระยะเวลาโอนตามสัญญาจะซื้อจะขายออกไปได้โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาโดยโจทก์จะต้องชำระเงินค่าตอบแทนให้แก่จำเลย เมื่อโจทก์พร้อมจึงได้บอกกล่าวชำระเงินส่วนที่เหลือและเงินค่าตอบแทนให้แก่จำเลยพร้อมกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ แต่ครบกำหนดแล้วจำเลยเพิกเฉย จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้
คำฟ้องระบุว่าโจทก์ตกลงจ่ายเงินให้แก่จำเลยเป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยตกลงขยายระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำนวนเงินที่โจทก์เสนอชดใช้ให้ตามฟ้องนั้นไม่เหมาะสมหรือน้อยไปแต่ประการใด จึงถือได้ว่าจำเลยไม่ติดใจโต้เถียงในจำนวนเงินที่โจทก์เสนอชดเชยให้แก่จำเลยตามฟ้อง และจำเลยยอมรับในประเด็นดังกล่าวแล้ว การที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ขึ้นมานั้นจึงเป็นฎีกานอกประเด็นเกินไปกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่ปรากฏในคำให้การ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 916/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเป็นตัวแทนเชิดต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ แม้โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษร จำเลยไม่อาจอ้างการชำระหนี้แทนได้
การเป็นตัวแทนเชิดหาจำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือในการเป็นตัวแทนไม่ แม้ ส.ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่า ส.เป็นตัวแทนของโจทก์ จำเลยก็อาจอ้างได้ว่า ส.เป็นตัวแทนเชิดของโจทก์รับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยวินิจฉัยว่า ส.ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่า ส.เป็นตัวแทนของโจทก์จำเลยไม่อาจอ้างได้ว่า ส.เป็นตัวแทนรับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ข้ออื่นอีก จึงเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142ประกอบด้วยมาตรา 246
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ฎีกา และต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่เมื่อคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานกันมาแล้ว ศาลฎีกาจึงชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 916/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ผ่านตัวแทนเชิด การพิสูจน์ความเป็นตัวแทน และผลกระทบต่อการระงับหนี้
การเป็นตัวแทนเชิดหาจำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือในการเป็นตัวแทนไม่แม้ส. ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่าส. เป็นตัวแทนของโจทก์จำเลยก็อาจอ้างได้ว่าส.เป็นตัวแทนเชิดของโจทก์รับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยวินิจฉัยว่าส. ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่าส. เป็นตัวแทนของโจทก์จำเลยไม่อาจอ้างได้ว่าส. เป็นตัวแทนรับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ข้ออื่นอีกจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบด้วยมาตรา246 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ฎีกาและต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงแต่เมื่อคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานกันมาแล้วศาลฎีกาจึงชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน โดยศาลมีอำนาจสั่งแบ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 แม้ไม่มีการครอบครองส่วนสัดชัดเจน
เมื่อตามคำฟ้องโจทก์ประสงค์แบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามแนวแผนที่พิพาทซึ่งคู่ความรับกันว่าจำเลยที่2และที่3ต่างมีบ้านพักปลูกอยู่บริเวณหมายเลข1และหมายเลข3ตามแผนที่พิพาทซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงการครอบครองเป็นส่วนสัดเฉพาะตัวบ้านอยู่แล้วส่วนโจทก์และจำเลยที่1ยังฟังไม่ได้ว่าครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนใดเช่นนี้การที่ศาลล่างพิพากษาต้องกันให้ไปรังวัดแบ่งแยกอาณาเขตที่ดินตามส่วนในโฉนดที่ดินและตามแนวแผนที่พิพาทโดยกันส่วนของจำเลยที่2และที่3ออกส่วนที่เหลือให้แบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1364จึงเป็นการชอบแล้วหาเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามแนวแผนที่พิพาท โดยคำนึงถึงการครอบครองพื้นที่เฉพาะตัวของผู้มีส่วนได้เสีย
เมื่อตามคำฟ้องโจทก์ประสงค์แบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามแนวแผนที่พิพาท ซึ่งคู่ความรับกันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่างมีบ้านพักปลูกอยู่บริเวณหมายเลข 1 และหมายเลข 3 ตามแผนที่พิพาท ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงการครอบครองเป็นส่วนสัดเฉพาะตัวบ้านอยู่แล้ว ส่วนโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังฟังไม่ได้ว่าครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนใด เช่นนี้ การที่ศาลล่างพิพากษาต้องกันให้ไปรังวัดแบ่งแยกอาณาเขตที่ดินตามส่วนในโฉนดที่ดิน และตามแนวแผนที่พิพาทโดยกันส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออก ส่วนที่เหลือให้แบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามที่กำหนดไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา 1364 จึงเป็นการชอบแล้วหาเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่
of 16