คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุลยทรรศน์ปฏิภาณ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,005 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 953/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเอาทรัพย์จำนองหลุดในคดีที่เจ้าหนี้อื่นยึดทรัพย์ ผู้ร้องต้องแสดงสิทธิและพิสูจน์ราคาทรัพย์
ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินไว้จากจำเลยมิได้ฟ้องผู้จำนอง (จำเลย)เพื่อเอาทรัพย์ (ที่ดิน) จำนองหลุด แต่ได้ร้องเข้ามาในคดีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา(โจทก์)ได้ยึดที่ดินนั้นเพื่อเอาชำระหนี้เช่นนี้ผู้ร้องจะว่าเป็นหน้าที่ของผู้จำนองจะต้องนำสืบว่าราคาทรัพย์สินนั้นท่วมจำนวนเงินอันค้างชำระ ฟังไม่ได้เพราะไม่ใช่คดีระหว่างผู้รับจำนองกับผู้จำนอง
เมื่อผู้ร้องต้องการเอาทรัพย์จำนองหลุดเป็นสิทธิเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและยึดทรัพย์สินนั้นไว้ผู้ร้องก็ต้องแสดงสิทธิของตนให้ปรากฏโจทก์โต้แย้งอยู่ว่าราคาทรัพย์สินไม่ท่วมจำนวนหนี้ของผู้ร้อง ซึ่งศาลรับฟังเป็นประเด็นข้อพิพาทเมื่อผู้ร้องไม่นำสืบ ก็แสดงสิทธิที่จะเรียกเอาทรัพย์จำนองหลุดเป็นสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา289 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933-934/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เปลี่ยนแปลงโทษฉ้อโกงจากกฎหมายลักษณะอาญาเป็นประมวลกฎหมายอาญาและผลกระทบต่อตัวการ-ผู้สนับสนุน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดฐานเป็นตัวการฉ้อโกงเรื่องแกล้งแสดงตนว่าเป็นคนใช้วิทยาคมได้ ตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.304,306(2) และจำเลยที่ 2 มี ความผิดฐานเป็นผู้ช่วยเหลืออุปการะในการกระทำผิดดังกล่าวผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา ม.304,306,65 อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำความผิดบัดนี้ประมวลกฎหมายอาญาได้เปลี่ยนแปลงความผิดฐานฉ้อโกงไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดโดยการใช้อุบายพิเศษเรื่องแกล้งแสดงตนว่าเป็นคนใช้วิทยาคมได้นั้นเป็นอันยกเลิกไปเสียแล้วและที่โจทก์กล่าวฟ้องในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เป็นกรณีพิเศษตามประมวลกฎหมายอาญา ม.342 ฉะนั้นการกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญา ม.341 ตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.304 เท่านั้นอันมีอัตราโทษจำคุกเพียงไม่เกิน 3 ปี เบากว่าอัตราโทษตาม กฎหมายลักษณะอาญา ม.306(2) มาก แม้เรื่องนี้เฉพาะโจทก์ร่วมฝ่ายเดียวฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ให้หนักขึ้น แต่ความผิดฐานฉ้อโกงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้ทำผิดดังกล่าวแล้วซึ่งประมวลกฎหมายอาญา ม.3 บัญญัติให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้ทำผิดและเป็นเหตุในลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายอาญา ม.89 จึงมีผลเกี่ยวพันไปถึงตัวจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาขึ้นมานั้นด้วยจำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นตัวการจึงผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.341,83 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดรายนี้ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญาม.341 ประกอบด้วย ม.86

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933-934/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เปลี่ยนแปลงโทษฉ้อโกง: กฎหมายใหม่เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิด, ศาลพิจารณาโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้บังคับ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดฐานเป็นตัวการฉ้อโกงเรื่องแกล้งแสดงตนว่าเป็นคนใช้วิทยาคมได้ ตามก.ม.ลักษณะอาญา ม.304,306(2) และจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้ช่วยเหลืออุปการะในการกระทำผิดดังกล่าวผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.304,306,65 อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำความผิด บัดนี้ประมวลกฎหมายอาญาได้เปลี่ยนแปลงความผิดฐานฉ้อโกงไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดโดยการใช้อุบายพิเศษเรื่องแกล้งแสดงตนว่าเป็นคนใช้วิทยาคมได้นั้น เป็นอันยกเลิกไปเสียแล้ว และที่โจทก์กล่าวฟ้องในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เป็นกรณีพิเศษตามประมวลกฎหมายอาญา ม.342 ฉะนั้นการกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญา ม.341 ตรงกับ ก.ม.ลักษณะอาญา ม.304 เท่านั้น อันมีอัตราโทษจำคุกเพียงไม่เกิน 3 ปี เบากว่าอัตราโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.306(2) มาก แม้เรื่องนี้เฉพาะโจทก์ร่วมฝ่ายเดียวฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ให้หนักขึ้น แต่ความผิดฐานฉ้อโกงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้ทำผิดดังกล่าวแล้ว ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาม.3 บัญญัติให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้ทำผิด และเป็นเหตุในลักษณะคดีตามประมวลกฏหมายอาญาม.89 จึงมีผลเกี่ยวพันไปถึงตัวจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาขึ้นมานั้นด้วย จำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นตัวการจึงผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.341,83 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดรายนี้ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.341 ประกอบด้วย ม.82.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงทำนาต่อหน้าศาลมีผลผูกพันบังคับได้ แม้จะไม่ได้รวมอยู่ในคำพิพากษา
โจทก์จำเลยตกลงกันต่อหน้าศาลให้โจทก์ทำนาพิพาทในระหว่างพิจารณาคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่โดยกำหนดค่าเช่าปีละ1,500 บาทศาลพิพากษายกฟ้อง จำเลยขอให้ศาลออกคำบังคับให้โจทก์ชำระค่าเช่าให้จำเลยตามข้อตกลงได้ไม่เป็นการนอกเหนือคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 827/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษกักกันผู้กระทำผิดซ้ำ ศาลฎีกาพิจารณาเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายอาญาแทน พ.ร.บ.กักกันผู้ร้าย
โจทก์ฟ้องขอให้กักกันจำเลยในฐานเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย โดยจำเลยเคยทำผิดต้องโทษจำคุกอันมิใช่ประมาทหรือลหุโทษมา 4 ครั้ง และมาทำผิดฐานชิงทรัพย์อีก โจทก์จึงฟ้องขอให้กักกันจำเลยฐานเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย เมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกาเมื่อใช้ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าการลงโทษผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายตาม พ.ร.บ. กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479 นั้น มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ศาลฎีกาจึงยกบทบัญญัติใน ประมวลกฎหมายอาญาอันมีมาตรา 43, 41 เป็นต้นมาใช้แทน และชี้ว่าตาม ม.43 โจทก์มีอำนาจแยกฟ้องได้ แต่ตาม ม.41 จะลงโทษกักกันได้ต่อเมื่อจำเลยเคยต้องโทษกักกันมาแล้ว หรือเคยถูกศาลพิพากษาให้จำคุกมาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง และมาทำผิด จำเลยนี้เคยต้องโทษเกิน 6 เดือนครั้งเดียว จึงยังฟ้องให้ลงโทษกักกันจำเลย ไม่ได้ ให้ยกฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 827/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย: เงื่อนไขการลงโทษและอำนาจฟ้องแยก
โจทก์ฟ้องขอให้กักกันจำเลยในฐานเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายโดยจำเลยเคยทำผิดต้องโทษจำคุกอันมิใช่ประมาทหรือลหุโทษมา 4 ครั้ง และมาทำผิดฐานชิงทรัพย์อีกโจทก์จึงฟ้องขอให้กักกันจำเลยฐานเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายเมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกาเมื่อใช้ประมวลกฎหมายอาญาแล้วศาลฎีกาเห็นว่าการลงโทษผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายตาม พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.2479นั้น มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ศาลฎีกาจึงยกบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญาอันมีมาตรา 43,41 เป็นต้นมาใช้แทนและชี้ว่าตาม มาตรา43 โจทก์มีอำนาจแยกฟ้องได้แต่ตาม มาตรา 41 จะลงโทษกักกันได้ต่อเมื่อจำเลยเคยต้องโทษกักกันมาแล้ว หรือเคยถูกศาลพิพากษาให้จำคุกมาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนไม่น้อยกว่า 2 ครั้งและมาทำผิด จำเลยนี้เคยต้องโทษเกิน 6เดือนครั้งเดียว จึงยังฟ้องให้ลงโทษกักกันจำเลยไม่ได้ ให้ยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 713/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสินบนจากราษฎรเพื่อเอื้อประโยชน์ในการตรวจรับรองที่ดิน การแก้ไขโทษทางอาญา
เพียงแต่พยานโจทก์ผู้เสียเงินให้จำเลยประมาณวันเวลาที่จำเลยไปตรวจที่จับจองและเรียกร้องเอาเงินและจำเลยก็รับว่าได้ไปตรวจที่ดินจริงทั้งมีสมุดลงเวลาทำงานเป็นหลักฐานต้องตามวันที่โจทก์ฟ้องดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันเวลาตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา136 ลงโทษจำคุก 2 ปี ลดตามมาตรา59 ให้ 1 ใน 3 คงจำไว้ 1 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะบทเป็นว่าจำเลยผิดตามมาตรา 138 นอกนั้นยืน ดังนี้ เป็นการแก้น้อย จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิดในข้อเท็จจริง & การป้องกันตัวสมควรแก่เหตุ ทำให้ไม่เป็นความผิดอาญา
จำเลยเป็นลูกเลี้ยงผู้ตายอยู่เรือนเดียวกับผู้ตาย คืนเกิดเหตุจำเลยนอนเฝ้าเรือนอยู่คนเดียวที่ระเบียง ส่วนผู้ตายไปเที่ยว สัก 4 น. มีคนจะขึ้นมาบนเรือน จำเลยได้ร้องถามไปคนนั้นก็ไม่ตอบ
จำเลยสำคัญว่าเป็นคนร้ายจะขึ้นมาลักทรัพย์บนเรือนจึงตีไป 2 - 3 ที คนนั้นตกบันไดไป เอาตะเกียงมาส่องดูจึงรู้ว่าเป็นนายทองบิดาเลี้ยง ซึ่งเป็นที่รักของจำเลย จำเลยว่าถ้ารู้ว่าเป็นนายทองก็จะไม่ตี ดั่งนี้ เป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงและเป็นการป้องกันตัวและทรัพย์สมควรแก่เหตุ ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องไม่ลงโทษจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิดในข้อเท็จจริงและการป้องกันทรัพย์สิน: เหตุยกฟ้องจำเลย
จำเลยเป็นลูกเลี้ยงผู้ตายอยู่เรือนเดียวกับผู้ตายคืนเกิดเหตุจำเลยนอนเฝ้าเรือนอยู่คนเดียวที่ระเบียงส่วนผู้ตายไปเที่ยวสัก 4 น.มีคนจะขึ้นมาบนเรือนจำเลยได้ร้องถามไปคนนั้นก็ไม่ตอบจำเลยสำคัญว่าเป็นคนร้ายจะขึ้นมาลักทรัพย์บนเรือนจึงตีไป 2-3 ทีคนนั้นตกบันไดไป เอาตะเกียงมาส่องดูจึงรู้ว่าเป็นนายทองบิดาเลี้ยงซึ่งเป็นที่รักของจำเลย จำเลยว่าถ้ารู้ว่าเป็นนายทองก็จะไม่ตีดั่งนี้เป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงและเป็นการป้องกันตัวและทรัพย์สมควรแก่เหตุ ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องไม่ลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากบาดแผลและการใช้สันขวานตี ศาลฎีกาตัดสินว่าเจตนาไม่ชัดเจน เพียงฐานฆ่าโดยไม่เจตนา
ใช้ขวานตีศีรษะกระดูกแตกตายในคืนนั้นแต่ไม่ปรากฏว่าขวานใหญ่ขนาดไหน แผลลึกแค่ไหนยังไม่พอแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
of 101