พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,005 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของเรือยนต์ร่วมกัน: การมีชื่อในทะเบียนเรือไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด
การที่จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนเรือนั้นมิใช่เป็นข้อสันนิษฐานอย่างเด็ดขาดว่า จำเลยเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว
ดังนั้นในประเด็นที่ว่าใครเป็นเจ้าของเรือยนต์ โจทก์อาจนำสืบถึงพฤติการณ์ต่างๆเช่นว่าการที่จำเลยเพียงบรรลุนิติภาวะยังไม่มีบุตรภรรยาทั้งยังอยู่ร่วมกับผู้เป็นบิดา เหตุไฉนจึงมีหลักทรัพย์มากมายเหลือล้นอย่างนี้ประกอบกับพฤติการณ์อื่นๆ อันส่อให้เห็นว่าบิดามารดาและจำเลยเป็นเจ้าของเรือยนต์ร่วมกันได้
ดังนั้นในประเด็นที่ว่าใครเป็นเจ้าของเรือยนต์ โจทก์อาจนำสืบถึงพฤติการณ์ต่างๆเช่นว่าการที่จำเลยเพียงบรรลุนิติภาวะยังไม่มีบุตรภรรยาทั้งยังอยู่ร่วมกับผู้เป็นบิดา เหตุไฉนจึงมีหลักทรัพย์มากมายเหลือล้นอย่างนี้ประกอบกับพฤติการณ์อื่นๆ อันส่อให้เห็นว่าบิดามารดาและจำเลยเป็นเจ้าของเรือยนต์ร่วมกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันเป็นเจ้าของเรือยนต์และขอบเขตการรับผิดในความเสียหายจากการชน
การที่จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนเรือนั้น มิใช่เป็นข้อสันนิษฐานอย่างเด็ดขาดว่าจำเลยเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ดังนั้นในประเด็นที่ว่าใครเป็นเจ้าของเรือนยนต์ โจทก์อาจนำสืบถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ เช่น ว่าการที่จำเลยเพียงบรรลุนิติภาวะยังไม่มีบุตรภรรยาทั้งยังอยู่ร่วมกับผู้เป็นบิดา เหตุไฉนจึงมีหลักทรัพย์มากมายเหลือล้นอย่างนี้ประกอบกับพฤติการณ์อื่น ๆ อันส่อให้เห็นว่าบิดามารดาและจำเลยเป็นเจ้าของเรือยนต์ร่วมกันได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษกระทงความผิดฐานทำร้ายร่างกายหลายคน: การพิจารณาต่างกรรมต่างวาระและการบังคับใช้ตามฟ้อง
ในคดีที่จำเลยหลายคนสมคบกันทำร้ายผู้เสียหายหลายคนโจทก์บรรยายฟ้องว่า 'จำเลยต่างมีมีดเป็นอาวุธสมคบกันฟันและแทงทำร้ายร่างกายนายสอาดกับนายใจถึงบาดเจ็บสาหัสทุพพลภาพฯ'ในฟ้องมิได้กล่าวว่าการกระทำของจำเลยเป็นกิจจะลักษณะต่างกรรมต่างวาระและโจทก์ก็มิได้นำสืบว่าการกระทำร้ายได้เกิดขึ้นในลักษณะอย่างไรทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้อ้าง มาตรา71 ให้เรียงกระทงลงโทษ เพียงเท่านี้ยังไม่พอฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาต่างกรรมต่างวาระและการบังคับใช้บทกฎหมายตามฟ้อง
ในคดีที่จำเลยหลายคนสมคบกันทำร้ายผู้เสียหายหลายคนโจทก์บรรยายฟ้องว่า "จำเลยต่างมีมีดเป็นอาวุธสมคบกันฟันและแทงทำร้ายร่างกายนายสอาดกับนายใจถึงบาดเจ็บสาหัสทุพลภาพฯ" ในฟ้องมิได้กล่าวว่าการกระทำของจำเลยเป็นกิจลักษณะต่างกรรมต่างวาระและโจทก์ก็มิได้นำสืบว่าการกระทำร้ายได้เกิดขึ้นในลักษณะอย่างไร ทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้อ้าง ม.71 ให้เรียงกะทงลงโทษ เพียงเท่านั้นยังไม่พอฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกะทง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีคอมมิวนิสต์ แต่ไม่มีหลักฐานเรื่องอั้งยี่ ศาลยกฟ้องตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา
ฟ้องว่ามีผู้ตั้งสมาคมปกปิดวิธีการ เพื่อการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ฯลฯ จำเลยรู้แล้วเข้าเป็นสมาชิกและอุดหนุนให้ที่พักอาศัยที่ประชุมชักชวนคนเข้าเป็นสมาชิก ให้เงินเสบียงอาหาร ฯลฯ โดยยืนยันซ้ำว่าเพื่อการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ไม่อ้างถึงอั้งยี่เลยแม้จะอ้าง มาตรา180 มาด้วย ก็ไม่เป็นฟ้องที่จะลงโทษตาม มาตรา180 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์เรือนที่รื้อถอนได้หลังซื้อขาย แต่ไม่จดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดิน ย่อมตกเป็นของเจ้าของที่ดินที่ซื้อโดยสุจริตและจดทะเบียน
การซื้อขายเรือนโดยทำสัญญาซื้อขายกันที่กรมการอำเภอโดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จะได้รื้อเอาไปภายในกำหนด 3 วันนั้นเป็นการขายสังหาริมทรัพย์
โจทก์ทำสัญญาซื้อขายเรือนกับเจ้าของเดิม ณ ที่ว่าการอำเภอโดยตกลงกันว่าจะรื้อเรือนไปภายใน 3 วัน แต่แล้วโจทก์กลับไม่รื้อเรือนไปตามข้อตกลงและกลับยอมให้เจ้าของเดิมเช่าเรือนพิพาทต่อไปอีกเป็นเวลานานถึง 10 ปี ถ้าโจทก์จะมีสิทธิเหนือพื้นดินของเจ้าของเดิมก็ต้องจดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. ม.1299 จึงจะใช้ยันจำเลยผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ แต่คดีนี้ปรากฏว่าไม่มีนิติกรรมจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและโดยเสียค่าตอบแทนทั้งได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นหลักฐานอีกด้วยเรือนซึ่งเป็นส่วนความย่อมติดไปกับที่ดิน จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในเรือนนี้ด้วย.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2499).
โจทก์ทำสัญญาซื้อขายเรือนกับเจ้าของเดิม ณ ที่ว่าการอำเภอโดยตกลงกันว่าจะรื้อเรือนไปภายใน 3 วัน แต่แล้วโจทก์กลับไม่รื้อเรือนไปตามข้อตกลงและกลับยอมให้เจ้าของเดิมเช่าเรือนพิพาทต่อไปอีกเป็นเวลานานถึง 10 ปี ถ้าโจทก์จะมีสิทธิเหนือพื้นดินของเจ้าของเดิมก็ต้องจดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. ม.1299 จึงจะใช้ยันจำเลยผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ แต่คดีนี้ปรากฏว่าไม่มีนิติกรรมจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและโดยเสียค่าตอบแทนทั้งได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นหลักฐานอีกด้วยเรือนซึ่งเป็นส่วนความย่อมติดไปกับที่ดิน จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในเรือนนี้ด้วย.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2499).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายเรือนรื้อถอนติดที่ดิน: กรรมสิทธิ์ในเรือนเป็นของใครเมื่อมีการซื้อขายที่ดินโดยสุจริต?
การซื้อขายเรือนโดยทำสัญญาซื้อขายกันที่กรมการอำเภอโดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จะได้รื้อเอาไปภายในกำหนด 3 วันนั้นเป็นการขายสังหาริมทรัพย์ไม่เป็นโมฆะ ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ตามฎีกาที่ 923/85
โจทก์ทำสัญญาซื้อขายเรือนกับเจ้าของเดิม ณ ที่ว่าการอำเภอโดยตกลงกันว่าจะรื้อเรือนไปภายใน 3 วัน แต่แล้วโจทก์กลับไม่รื้อเรือนไปตามข้อตกลงและกลับยอมให้เจ้าของเดิมเช่าเรือนพิพาทต่อไปอีกเป็นเวลานานถึง 10 ปี ถ้าโจทก์จะมีสิทธิเหนือพื้นดินของเจ้าของเดิมก็ต้องจดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1299 จึงจะใช้ยันจำเลยผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แต่คดีนี้ปรากฏว่าไม่มีนิติกรรมจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เมื่อจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและโดยเสียค่าตอบแทนทั้งได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นหลักฐานอีกด้วยเรือนซึ่งเป็นส่วนควบย่อมติดไปกับที่ดินจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในเรือนนี้ด้วย (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2499)
โจทก์ทำสัญญาซื้อขายเรือนกับเจ้าของเดิม ณ ที่ว่าการอำเภอโดยตกลงกันว่าจะรื้อเรือนไปภายใน 3 วัน แต่แล้วโจทก์กลับไม่รื้อเรือนไปตามข้อตกลงและกลับยอมให้เจ้าของเดิมเช่าเรือนพิพาทต่อไปอีกเป็นเวลานานถึง 10 ปี ถ้าโจทก์จะมีสิทธิเหนือพื้นดินของเจ้าของเดิมก็ต้องจดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1299 จึงจะใช้ยันจำเลยผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แต่คดีนี้ปรากฏว่าไม่มีนิติกรรมจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เมื่อจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและโดยเสียค่าตอบแทนทั้งได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นหลักฐานอีกด้วยเรือนซึ่งเป็นส่วนควบย่อมติดไปกับที่ดินจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในเรือนนี้ด้วย (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2499)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยในคดีพนันซ้ำ โดยยังไม่พ้นโทษจากคดีก่อน และการพิจารณาการรอการลงโทษ
จำเลยต้องโทษตาม พ.ร.บ.การพนันและศาลให้รอการลงโทษไว้ ต่อมายังไม่ครบ 3 ปี จำเลยกระทำผิดต่อ พ.ร.บ.การพนันอีกจะเพิ่มโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 ม.14 ทวิยังไม่ได้ เพราะยังถือไม่ได้ว่าพ้นโทษไปแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยในคดีพนันซ้ำ ขณะยังอยู่ในระยะรอการลงโทษ
จำเลยต้องโทษตาม พระราชบัญญัติการพนันและศาลให้รอการลงโทษไว้ต่อมายังไม่ครบ 3 ปี จำเลยกระทำผิดต่อ พระราชบัญญัติการพนันอีก จะเพิ่มโทษจำเลยตาม พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา14ทวิ ยังไม่ได้ เพราะยังถือไม่ได้ว่าพ้นโทษไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาที่เจาะจงความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ศาลพิจารณา หากไม่สอดคล้อง ศาลต้องยกฟ้อง
ตาม ก.ม.อาญา ม.131 เป็นบทบัญญัติเรื่องเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ของรัฐบาลซึ่งอยู่ในความปกครองรักษาตามหน้าที่ของตน.เมื่อฟ้องของโจทก์กล่าวซ้ำ ๆ กันแต่ในเรื่องจำเลยเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บแล้วยักยอกเงินส่วนที่เรียกเก็บเกินมานั้นย่อมเห็นได้ชัดว่าโจทก์ฟ้องเจาะจงความผิดตาม ม.135 โดยตรงไม่มีข้อความให้เห็นว่ามุ่งถึง ม.131 เลย
เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บดังฟ้องเช่นนี้ ศาลต้องยกฟ้องศาล.
เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องเรียกเก็บเงินค่าภาษีเกินกว่าที่ควรจะเก็บดังฟ้องเช่นนี้ ศาลต้องยกฟ้องศาล.