พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,005 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1698/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดฐานฆ่าคนตาย แม้เป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ก็ยังเป็นละเมิดตามกฎหมาย และฟ้องได้ภายใน 10 ปี
จำเลยใช้มีดแทงเขาโดยจงใจ และเขาตายเพราะพิษบาดแผลที่จำเลยทำร้าย ดังนี้แม้เป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาก็ย่อมเป็นการละเมิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
จำเลยถูกฟ้องหาว่า ฆ่าคนตาย จนคดีถึงที่สุด ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ดังนี้ กรณีเข้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติให้ถืออายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา168 ซึ่งให้ฟ้องได้ภายใน 10 ปี
จำเลยถูกฟ้องหาว่า ฆ่าคนตาย จนคดีถึงที่สุด ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ดังนี้ กรณีเข้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติให้ถืออายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา168 ซึ่งให้ฟ้องได้ภายใน 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1687/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบพยาน: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจย้อนสำนวนเพื่อวินิจฉัยพยานจำเลยที่ถูกละเลยได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยต่อสู้ว่าข้อสัญญามิได้เป็นดังโจทก์อ้างแต่เป็นดังที่จำเลยต่อสู้ โจทก์ทำผิดสัญญาจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายดังนี้เรียกว่าจำเลยปฏิเสธฟ้องของโจทก์ทุกข้อ โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน
ศาลชั้นต้นกะหน้าที่นำสืบผิดโดยให้จำเลยสืบก่อนแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยไม่รับวินิจฉัยพยานจำเลยเสีย เลย ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยพยานจำเลยนั้นไม่ชอบและที่ศาลชั้นต้นกะหน้าที่นำสืบให้จำเลยสืบ ก่อนก็ไม่ชอบ ดังนี้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่แล้วพิพากษาตามรูปคดีโดยถือว่าโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนได้
ศาลชั้นต้นกะหน้าที่นำสืบผิดโดยให้จำเลยสืบก่อนแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยไม่รับวินิจฉัยพยานจำเลยเสีย เลย ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยพยานจำเลยนั้นไม่ชอบและที่ศาลชั้นต้นกะหน้าที่นำสืบให้จำเลยสืบ ก่อนก็ไม่ชอบ ดังนี้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่แล้วพิพากษาตามรูปคดีโดยถือว่าโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1687/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบพยานในคดีแพ่ง: จำเลยปฏิเสธฟ้องทุกข้อ โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับ จำเลยต่อสู้ว่า ข้อสัญญามิได้เป็นดังโจทก์อ้าง แต่เป็นดังที่จำเลยต่อสู้ โจทก์ทำผิดสัญญา จึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย ดังนี้ เรียกว่า จำเลยปฏิเสธฟ้องของโจทก์ทุกข้อโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน
ศาลชั้นต้นกะหน้าที่นำสืบผิดโดยให้จำเลยสืบก่อนแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยไม่รับวินิจฉัยพยานจำเลยเสียเลย ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยพยานจำเลยนั้นไม่ชอบ และที่ศาลชั้นต้นกะหน้าที่นำสืบให้จำเลยสืบก่อนก็ไม่ชอบ ดังนี้ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่แล้วพิพากษาตามรูปคดี โดยถือว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนได้
ศาลชั้นต้นกะหน้าที่นำสืบผิดโดยให้จำเลยสืบก่อนแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยไม่รับวินิจฉัยพยานจำเลยเสียเลย ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยพยานจำเลยนั้นไม่ชอบ และที่ศาลชั้นต้นกะหน้าที่นำสืบให้จำเลยสืบก่อนก็ไม่ชอบ ดังนี้ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่แล้วพิพากษาตามรูปคดี โดยถือว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีผิดสัญญาของหัวหน้าพนักงานขายแทนบริษัท: ไม่มีอำนาจฟ้องในนามตนเอง
หัวหน้าพนักงานผู้จัดการขายจักรของสาขาบริษัทจักรเย็บผ้า (ซิงเกอร์ปัตตานี) ขายจักรของบริษัทไปแทนบริษัทแม้ผู้ซื้อจะผิดสัญญา ก็ไม่มีสิทธิจฟ้องร้องผู้ซื้อฐานผิดสัญญาอันเป็นเรื่องของบริษัทในนามของตนเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีผิดสัญญาซื้อขาย: ผู้ขายที่เป็นตัวแทนของบริษัท ไม่มีสิทธิฟ้องเอง
หัวหน้าพนักงานผู้จัดการขายจักรของสาขาบริษัทจักรเย็บผ้า(ซิงเกอร์ปัตตานี)ขายจักรของบริษัทไปแทนบริษัท แม้ผู้ซื้อจะผิดสัญญา ก็ไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องผู้ซื้อฐานผิดสัญญา อันเป็นเรื่องของบริษัทในนามของตนเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเอาทรัพย์สินชำระหนี้แทนเงินโมฆะ: สัญญากู้ที่ระบุโอนที่นาหากไม่ชำระหนี้
สัญญากู้เงินมีใจความว่ากู้เงินไปจำนวนหนึ่ง สัญญาจะใช้คืนภายในกำหนดและมีข้อความว่าผู้กู้ได้นำนาแปลงหนึ่งมาให้ผู้กู้ยึดถือไว้เป็นปะกันโดยมีบันทึกว่า "นายรายนี้ข้าพเจ้าไม่นำต้นเงินและดอกเบี้ยมาให้ท่านตามสัญญานี้ ข้าพเจ้าขอยอมโอนที่นารายนี้ให้แก่ท่านเป็นกรรมนสิทธิ" ดังนี้ถือว่าเป็นสัญญากู้หนี้ธรรมดาไม่ใช่สัญญาจะซื้อขายที่นาฉะนั้นจึงต้องบังคับตาม ก.ม.ว่าด้วยการยืมใช้สิ้นเปลือง คือ ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 650 เมื่อตกลงกันล่วงหน้าว่าถ้าไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดยอมโอนที่นาให้เป็นกรรมสิทธิจึงเป็นการเอาทรัพย์สินอย่าง อื่นชำระหนี้แทนเงินกันทีเดียวโดยมิได้คำนึงถึงราคาเสียเลย จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 656 วรรค 2 และตกเป็นโมฆะตาม วรรค 3 ผู้ให้กู้จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้บังคับผู้กู้โอนที่นาให้แก่ตนตามสัญญาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเงินกู้ที่มีข้อตกลงโอนที่ดินเมื่อผิดนัดชำระ เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656
สัญญากู้เงินมีใจความว่ากู้เงินไปจำนวนหนึ่ง สัญญาจะใช้คืนภายในกำหนด และมีข้อความว่า ผู้กู้ได้นำนาแปลงหนึ่งมาให้ผู้กู้ยึดถือไว้เป็นประกันโดยมีบันทึกว่า "นารายนี้ข้าพเจ้าไม่นำต้นเงินและดอกเบี้ยมาให้ท่านตามสัญญานี้ ข้าพเจ้าขอยอมโอนที่นารายนี้ให้แก่ท่านเป็นกรรมสิทธิ์" ดังนี้ ถือว่าเป็นสัญญากู้หนี้ธรรมดาไม่ใช่สัญญาจะซื้อขายที่นา ฉะนั้นจึงต้องบังคับตามกฎหมายว่าด้วยยืมใช้สิ้นเปลือง คือตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 650 เมื่อตกลงกันล่วงหน้าว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดยอมโอนที่นาให้เป็นกรรมสิทธิ์ จึงเป็นการเอาทรัพย์สินอย่างอื่นชำระหนี้แทนเงินกันทีเดียวโดยมิได้คำนึงถึงราคานาเสียเลยจึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 656 วรรคสองและตกเป็นโมฆะตามวรรคสาม ผู้ให้กู้จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้บังคับผู้กู้โอนที่นาให้แก่ตนตามสัญญาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1682/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์และฎีกาเพื่อขอลดโทษกักกัน ศาลฎีกายกรับฟังเนื่องจากเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี และกำหนดโทษกักกันไม่เกิน 5 ปีจำเลยจะฎีกาขอให้ลดหรืองดโทษกักกันอันเป็นเรื่องเกี่ยวแก่ดุลพินิจของศาล ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงนั้นไม่ได้ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1682/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาขอลดโทษกักกันหลังศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การพิจารณาเป็นดุลยพินิจของศาล
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี และกำหนดโทษกักกันไม่เกิน 5 ปี จำเลยจะฎีกาขอให้ลดหรืองดโทษกักกันอันเป็นเรื่องเกี่ยวแก่ดุลยพินิจของศาล ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงนั้นไม่ได้ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1680/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีสุราเถื่อนกับกินสุราเถื่อนเป็นคนละฐาน แม้จำเลยรับสารภาพว่ากินสุรา แต่หากไม่ได้มีไว้ในครอบครอง โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดฐานมีสุราได้
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยมีสุราที่ผิดกฎหมายไว้ในความครอบครอง และจำเลยได้กินสุราที่มีไว้นั้น จำเลยรับว่าได้กินสุรานั้นจริง ส่วนข้อมีสุราปฏิเสธ แล้วโจทก์ไม่สืบพยาน ดังนี้ โจทก์จะกลับมาโต้แย้งว่าต้องมีไว้ในครอบครองก่อนแล้ว จึงจะกินได้นั้นย่อมฟังไม่ขึ้นเพราะความผิดฐานมีสุราเถื่อนกับกินสุราเถื่อนนั้นเป็นคนละฐานแยกกันได้
พ.ร.บ.สุรา พ.ศ.2493 ไม่ได้บัญญัติความผิดฐานดื่มกินสุราผิดกฎหมายไว้ ฉะนั้นเมื่อผู้กระทำผิดฐานกินสุราผิดกฎหมายตามพ.ร.บ.ภาษีชั้นใน ถูกฟ้องขอให้ลงโทษฐานนี้ เมื่อใช้ พ.ร.บ.สุรา พ.ศ.2493 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานกินสุราผิดกฎหมายไม่ได้
พ.ร.บ.สุรา พ.ศ.2493 ไม่ได้บัญญัติความผิดฐานดื่มกินสุราผิดกฎหมายไว้ ฉะนั้นเมื่อผู้กระทำผิดฐานกินสุราผิดกฎหมายตามพ.ร.บ.ภาษีชั้นใน ถูกฟ้องขอให้ลงโทษฐานนี้ เมื่อใช้ พ.ร.บ.สุรา พ.ศ.2493 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานกินสุราผิดกฎหมายไม่ได้