คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุลยทรรศน์ปฏิภาณ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,005 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1294/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดสภาพการสมรสโดยการแยกกันอยู่เป็นเวลานานและการสมรสใหม่ ย่อมทำให้การสมรสเดิมสิ้นสุดลงตามกฎหมาย
คดีพิพาทกันว่า ใครควรเป็นทายาทอันจะมีสิทธิรับบำนาญตกทอดของผู้ตายตาม พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญ พ.ศ. 2494 เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
สามีกับภรรยาคนแรกแยกจากกัน มิได้อยู่ร่วมกันฉันทก์สามีภรรยาทั่ว ๆ ไป เป็นเวลา 35-36 ปี จนกระทั่งสามีถึงแก่กรรม เมื่อภรรยาคนแรกแยกจากสามี ๆ ได้ภรรยาคนที่สองอยู่กินด้วยกันรวม 15 ปี ก็เลิกร้างกันไป แล้วสามีจึงได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยาคนที่สามและอยู่กินร่วมกันประมาณ 20 ปี จนกระทั่งสามีถึงแก่กรรม และปรากฏว่าก่อนที่สามีจะแยกทางกับภรรยาคนแรก ได้มีเรื่องขึ้งโกรธกันขึ้น โดยภรรยาคนแรกประพฤตินอกใจสามี ่จึงต้องละทิ้งสามีไปเที่ยวอาศัยคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง ต่างฝ่ายต่างขาดการติดต่อซึ่งกันและกันฉันท์สามีภรรยา จนเป็นที่เห็นว่าทั้งสองหมดเยื่อใยต่อกัน พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่า สามีและภรรยาคนแรกได้สมัครในหย่าขาดจากสามีภรรยากันแล้วตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 51 แม้มิได้ทำพิธีหย่าเป็นหนังสือ ก็เป็นการใช้ได้ตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1294/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดสภาพสมรสโดยการแยกกันอยู่เป็นเวลานาน และการรับบำนาญตกทอดหลังการสมรสใหม่
คดีพิพาทกันว่า ใครควรเป็นทายาทอันจะมี สิทธิรับบำนาญตกทอดของผู้ตายตาม พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญ พ.ศ.2494 เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
สามีกับภรรยาคนแรกแยกจากกัน มิได้อยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยาทั่วๆ ไป เป็นเวลา 35-36 ปี จนกระทั่งสามีถึงแก่กรรม เมื่อภรรยาคนแรกแยกจากสามีได้ภรรยาคนที่สองอยู่กินด้วยกันรวม 15 ปีก็เลิกร้างกันไป แล้วสามีจึงได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยาคนที่สามและอยู่กินร่วมกันประมาณ 20 ปี จนกระทั่งสามีถึงแก่กรรมและปรากฏว่าก่อนที่สามีจะแยกกับภรรยาคนแรก ได้มีเรื่องขึ้งโกรธกันขึ้นโดยภรรยาคนแรกประพฤตินอกใจสามี จึงต้องละทิ้งสามีไปเที่ยวอาศัยคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง ต่างฝ่ายต่างขาดการติดต่อซึ่งกันและกันฉันท์สามีภรรยา จนเป็นที่เห็นว่าทั้งสองหมดเยื่อใยต่อกัน พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่า สามีและภรรยาคนแรกได้สมัครใจหย่าขาดจากสามีภรรยากันแล้วตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 51 แม้มิได้ทำพิธีหย่าเป็นหนังสือ ก็เป็นการใช้ได้ตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยักยอกทรัพย์ทางราชการ: ฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้รายละเอียดการรับเงินและยักยอกไม่ชัดเจน
คดีมีความผิดฐานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตยักยอกทรัพย์ความว่า จำเลยได้รับเงินผลประโยชน์ไว้ตามหน้าที่ราชการในระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2495 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2497 รวมเป็น 219,310 บาท 95 สตางค์ แล้วในระหว่างนั้นเวลากลางวัน จำเลยได้ยักยอกเอาไว้เป็นประโยชน์ตนเองเสีย 2,357 บาท 89 สตางค์ จำเลยจะได้รับเงินกี่คราวและวันไหนบ้างเป็นรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งโจทก์อาจไม่อยู่ในวิสัยที่จะจำแนกให้ปรากฏได้ และจำเลยจะยักยอกเอาเงิน 2,357 บาท 89 สตางค์นั้นไปกี่คราว วันไหนบ้าง เป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจไม่อยู่ในวิสัยที่จะจำแนกได้เช่นเดียวกัน ดังนี้ ฟ้องของโจทก์หาเคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของฟ้องอาญา: การยักยอกทรัพย์ แม้ขาดรายละเอียดปลีกย่อยก็ไม่ทำให้ฟ้องเคลือบคลุม
คดีความผิดฐานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตยักยอกทรัพย์ความว่า จำเลยได้รับเงินผลประโยชน์ไว้ตามหน้าที่ราชการในระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2495 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม2497 รวมเป็น 219,310 บาท 95 สตางค์ แล้วในระหว่างนั้นเวลากลางวันจำเลยได้ยักยอกเอาไว้เป็นประโยชน์ตนเองเสีย 2,357 บาท 89 สตางค์ จำเลยจะได้รับเงินกี่คราวและวันไหนบ้างเป็นรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งโจทก์อาจไม่อยู่ในวิสัยที่จะจำแนกให้ปรากฏได้ และจำเลยจะยักยอกเอาเงิน 2,357 บาท 89 สตางค์นั้นไปกี่คราว วันไหนบ้าง เป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจไม่อยู่ในวิสัยที่จะจำแนกได้เช่นเดียวกัน ดังนี้ ฟ้องของโจทก์หาเคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1277/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ปืนยิงในการปล้นทรัพย์ แม้ไม่ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย ก็ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4
ตามข้อบัญญัติของ มาตรา 340 วรรค 4 แห่งประมวลกฎหมายอาญา นั้น เพียงแต่จำเลยใช้ปืนยิงในการปล้น ก็เป็นกรณีเข้าอยู่ในวรรคนี้แล้วเพราะไม่มีข้อบัญญัติว่า การใช้ปืนยิงนั้นจะต้องทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1277/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ปืนยิงในขณะปล้นทรัพย์ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา แม้ไม่มีผู้ได้รับอันตราย
ตามข้อบัญญัติของมาตรา 340 วรรค 4 แห่งประมวลกฎหมายอาญา นั้น เพียงแต่จำเลยใช้ปืนยิงในการปล้น ก็เป็นกรณีเข้าอยู่ในวรรคนี้แล้ว เพราะไม่มีข้อบัญญัติว่า การใช้ปืนยิงนั้น จะต้องทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันไม่เป็นโมฆะ แม้มีการดำเนินคดีอาญาเพิ่มเติมจากเจตนาร้องทุกข์เดิม และสิทธิการบังคับคดีกับลูกหนี้
โจทก์เจตนาแจ้งข้อหาในเรื่องฉ้อโกงเงินของโจทก์อันเป็นความผิดต่อส่วนตัว แต่ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง แจ้งความเท็จ และทำผิดกฎหมายหุ้นส่วนด้วย จำเลยเข้ามาทำสัญญากับโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ถอนคำร้องทุกข์แล้ว จำเลยยอมค้ำประกันจำนวนเงินรายนี้ ครั้นโจทก์ถอนคำร้องทุกข์ แม้คดีคงระงับเฉพาะข้อหาฉ้อโกงเป็นความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น จำเลยก็ยังคงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น เพราะการที่ข้อหาในคดีอาญาแผ่นดินยังดำเนินกันอยู่นั้น ไม่เกี่ยวแก่โจทก์ สัญญาค้ำประกันเช่นว่านี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ
ในสัญญาค้ำประกันมีว่า จำเลยผู้ค้ำประกันยอมสละไม่ยกข้อต่อสู้ที่จะให้โจทก์บังคับเอาจากทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้ก่อน ฉะนั้นเมื่อบริษัทลูกหนี้ล้มละลาย แม้โจทก์จะได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วก็ตาม ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้ชำระหนี้ทีค้ำประกันไว้ หากโจทก์ได้รับชำระหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่าใด จำเลยผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องชำระในจำนวนนั้นอีก หาใช่โจทก์จะมีสิทธิได้รับจำนวนเงิน เป็น 2 ซ้ำไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันไม่เป็นโมฆะ แม้มีการดำเนินคดีอาญาเพิ่มเติมจากเจตนาร้องทุกข์เดิม ผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดตามสัญญา
โจทก์เจตนาแจ้งข้อหาในเรื่องฉ้อโกงเงินของโจทก์อันเป็นความผิดต่อส่วนตัว แต่ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง แจ้งความเท็จ และทำผิดกฎหมายหุ้นส่วนด้วย จำเลยเข้ามาทำสัญญากับโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ถอนคำร้องทุกข์แล้ว จำเลยยอมค้ำประกันจำนวนเงินรายนี้ ครั้นโจทก์ถอนคำร้องทุกข์แม้คดีคงระงับเฉพาะข้อหาฉ้อโกงอันเป็นความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น จำเลยก็ยังคงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้นเพราะการที่ข้อหาในคดีอาญาแผ่นดินยังดำเนินกันอยู่นั้น ไม่เกี่ยวแก่โจทก์ สัญญาค้ำประกันเช่นว่านี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ
ในสัญญาค้ำประกันมีว่า จำเลยผู้ค้ำประกันยอมสละไม่ยกข้อต่อสู้ที่จะให้โจทก์บังคับเอาจากทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้ก่อน ฉะนั้นเมื่อบริษัทลูกหนี้ล้มละลาย แม้โจทก์จะได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วก็ตาม ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้ชำระหนี้ที่ค้ำประกันไว้ หากโจทก์ได้รับชำระหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่าใด จำเลยผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องชำระในจำนวนนั้นอีก หาใช่โจทก์จะมีสิทธิได้รับจำนวนเงินเป็น 2 ซ้ำไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1241/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างต้องรับผิดต่อการกระทำของลูกจ้างในการปฏิบัติงานตามสัญญา
จำเลยที่ 2 เป็นนายท้ายและผู้ควบคุมเรือยนต์ทำงานในฐานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และรับจ้างลากจูงเรือของโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ทำให้เรือบรรทุกข้าวของโจทก์ล่มเป็นไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1241/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดนายจ้างต่อลูกจ้างในความเสียหายที่เกิดจากการปฏิบัติงานตามสัญญา
จำเลยที่ 2 เป็นนายท้ายและผู้ควบคุมเรือยนต์ทำงานในฐานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และรับจ้างลากจูงเรือของโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ทำให้เรือบรรทุกข้าวของโจทก์ล่มเป็นไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย
of 101