พบผลลัพธ์ทั้งหมด 742 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดของผู้เช่า ผู้รับซื้อย่อมไม่มีสิทธิเหนือผู้ให้เช่า
เช่าเครื่องมือในการตัดผมและเครื่องอุปกรณ์อื่นในร้านตัดผมของเขาไว้ เปิดทำการตัดผมคิดค่าเช่าเป็นรายเดือน และชำระค่าเช่าเรื่อยมา ภายหลังกลับเอาเครื่องมือและเครื่องอุปกรณ์เหล่านั้นไปโอนขายแก่ผู้อื่นเสีย ดังนี้ผู้รับซื้อไม่ได้กรรมสิทธิและไม่ใช่กรณีตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1303 และไม่เข้าข้อยกเว้น ตามมาตรา 1332 เจ้าของยังคงมีสิทธิตามเอาคืนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบ - อุทธรณ์ฎีกา - การโต้แย้งคำสั่ง - ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เมื่อศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบก่อนแล้วถ้าคู่ความฝ่ายนั้น ไม่เห็นด้วยและประสงค์จะอุทธรณ์ฎีกาในเรื่องคำสั่งหน้าที่นำสืบแล้วคู่ความฝ่ายนั้นจะต้องโต้แย้งไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 มิฉะนั้นจะอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบ - การโต้แย้งคำสั่ง - อุทธรณ์ฎีกา - ป.วิ.แพ่ง ม.226
เมื่อศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบก่อนแล้ว ถ้าคู่คามฝ่ายนั้น ไม่เห็นด้วยและประสงค์จะอุทธรณ์ฎีกาในเรื่องคำสั่งหน้าที่สืบแล้ว คู่ความฝ่ายนั้นจะต้องโต้แย้งไว้ก่อนตาม ป.วิ.แพ่ง ม. 226 มิฉะนั้นจะอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงิน: การสันนิษฐานการได้รับเงิน และหน้าที่การนำสืบของจำเลย
โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระเงินกู้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การรับว่าได้ลงชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญาจริง แต่ไม่ได้รับเงินไปสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ดังนี้ เมื่อในสัญญากู้ข้อ 1 มีความชัดว่าจำเลยได้รับเงินไปครบถ้วนแล้วก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยได้รับเงินไปตามสัญญาแล้วฉะนั้นเมื่อจำเลยมีข้อต่อสู้อย่างใดที่จะหักล้างได้ก็ต้องเป็นหน้าที่จำเลยนำสืบ เพราะถ้าไม่มีการสืบกันแล้วข้อเท็จจริงก็อันเป็นอันยุติว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์และรับเงินไปตามที่ปรากฏในสัญญานั้นแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงิน: สัญญาที่ระบุการรับเงินแล้ว ผู้กู้ต้องพิสูจน์การไม่ได้รับเงิน
โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระเงินกู้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การรับว่าได้ลงชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญาจริง แต่ไม่ได้รับเงินไปสัญญากู้ไม่สมบุรณ์ตามกฎหมายดังนี้ เมื่อในสัญญากู้ข้อ 1 มีความชัดว่าจำเลยได้รับเงินไปครบถ้วนแล้ว ก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยได้รับเงินไปตามสัญญาแล้ว ฉะนั้นเมื่อจำเลยมีข้อต่อสู้อย่างใดที่จะหักล้างได้ก็ต้องเป็นหน้าที่จำเลยนำสืบเพราะถ้าไม่มีการสืบกันแล้ว ข้อเท็จจริงก็อันเป็นอันยุติว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ และรับเงินไปตามที่ปรากฎในสัญญานั้นแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณา 'เคหะ' เพื่อบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า: เจตนาคู่สัญญาและสภาพแวดล้อม
สัญญาเช่าจะตกอยู่ในความควบคุมแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯลฯหรือไม่อีกนัยหนึ่งสถานที่เช่านั้นจะเป็น 'เคหะ'หรือไม่นั้น มีหลักการวินิจฉัยอยู่ตามคำพิพากษาฎีกาที่1099-1147/2491 ซึ่งมีความสำคัญอยู่ว่าจะต้องพิจารณาเจตนาของคู่กรณีในเวลาทำสัญญาประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่นๆเช่น สภาพของสิ่งปลูกสร้าง อัตราค่าเช่า ทำเลที่ตั้งและการปฏิบัติของคู่สัญญาแต่ละฝ่ายเหล่านี้ รวมกันว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่
ภรรยาโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากตึกเช่าศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถือว่าเป็นเคหะจึงพิพากษายกฟ้องฟังคำพิพากษาแล้ว 4 วัน โจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นใหม่มีข้อความเพิ่มเติมขึ้นอีกว่า เช่าเพื่อทำการค้ามีกำหนดเวลาเช่า 2 เดือน พอครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาใหม่ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยต่อสู้คดีว่าอยู่อาศัยอย่างเดิม ดังนี้ ศาลจะงดสืบพยานโดยถือเอาผลคำพิพากษาในคดีเดิมมาเป็นเครื่องชี้ขาดว่าเป็นเคหะไม่ได้ ต้องให้สืบพยานเพื่อจะได้วินิจฉัยตามหลักที่วางไว้ในฎีกาที่1099-1147/2491 การที่สัญญาเช่าจะตกอยู่ในความควบคุมแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน หรือไม่มีหลักการวินิจฉัยอยู่ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1099-1147/2491 แล้วจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานของคู่ความจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่
ภรรยาโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากตึกเช่าศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถือว่าเป็นเคหะจึงพิพากษายกฟ้องฟังคำพิพากษาแล้ว 4 วัน โจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นใหม่มีข้อความเพิ่มเติมขึ้นอีกว่า เช่าเพื่อทำการค้ามีกำหนดเวลาเช่า 2 เดือน พอครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาใหม่ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยต่อสู้คดีว่าอยู่อาศัยอย่างเดิม ดังนี้ ศาลจะงดสืบพยานโดยถือเอาผลคำพิพากษาในคดีเดิมมาเป็นเครื่องชี้ขาดว่าเป็นเคหะไม่ได้ ต้องให้สืบพยานเพื่อจะได้วินิจฉัยตามหลักที่วางไว้ในฎีกาที่1099-1147/2491 การที่สัญญาเช่าจะตกอยู่ในความควบคุมแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน หรือไม่มีหลักการวินิจฉัยอยู่ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1099-1147/2491 แล้วจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานของคู่ความจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาคู่กรณีสำคัญกว่าคำพิพากษาเดิมในการพิจารณาว่าสัญญาเช่าอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าหรือไม่
สัญญาเช่าจะตกอยู่ในความควบคุมแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ รือไม่ อีกนัยหนึ่งสถานที่เช่านั้นจะเป็น " เคหะ " หรือไม่นั้น มีหลักการวินิจฉัยอยู่ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1099-1147/2481 ซึ่งมีความสำคัญอยู่ว่า จะต้องพิจารณาเจตนาของคู่กรณีในเวลาทำสัญญาประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่น ๆ เช่น สภาพของสิ่งปลูกสร้าง อัตราค่าเช่า ทำเลที่ตั้งและการปฎิบัติของคู่สัญญาแต่ละฝ่ายเหล่านี้ รวมกันว่า การเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่
ภรรยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากตึกเช่า ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถือว่าเป็นเคหะจึงพิพากษายกฟ้อง ฟังคำพิพากษาแล้ว 4 วัน โจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นใหม่มีข้อความมีกำหนดเวลาเช่า 2 เดือน พอครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาใหม่ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ๆ ต่อสู้คดีว่าอยู่อาศัยอย่างเดิมดังนี้ ศาลจะงดสืบพะยานโดยถือเอาผลคำพิพากษาในคดีเดิมมาเป็นเครื่องชี้ขาดว่าเป็นเคหะไม่ได้ ต้องให้สืบพะยานเพื่อจะได้วินิจฉัยตามหลักที่วางไว้ในฎีกาที่+
ภรรยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากตึกเช่า ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถือว่าเป็นเคหะจึงพิพากษายกฟ้อง ฟังคำพิพากษาแล้ว 4 วัน โจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นใหม่มีข้อความมีกำหนดเวลาเช่า 2 เดือน พอครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาใหม่ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ๆ ต่อสู้คดีว่าอยู่อาศัยอย่างเดิมดังนี้ ศาลจะงดสืบพะยานโดยถือเอาผลคำพิพากษาในคดีเดิมมาเป็นเครื่องชี้ขาดว่าเป็นเคหะไม่ได้ ต้องให้สืบพะยานเพื่อจะได้วินิจฉัยตามหลักที่วางไว้ในฎีกาที่+
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดรื้อเรือน: ศาลยกฟ้องเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบังอาจละเมิดรื้อเรือนของโจทก์โดยโจทก์กล่าวอ้างว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว เมื่อทางพิจารณาไม่ได้ความสมฟ้องว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวทั้งยังได้ความว่าจำเลยยังมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย ดังนี้คดีก็ต้องยกฟ้อง จะให้พิจารณาเลยไปถึงสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมด้วยนั้น เป็นการเกินกว่าโจทก์กล่าวในฟ้อง ไม่มีประเด็นจะพึงพิจารณาให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องร้อง: การฟ้องละเมิดต้องสอดคล้องกับข้ออ้างเดิม หากข้อเท็จจริงนำสืบไม่ตรงกับที่ฟ้องไว้ คดีต้องยก
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบังอาจละเมิดรื้อเรือนของโจทก์ โดยโจทก์กล่าวอ้างว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว เมื่อทางพิจารณาไม่ได้ความสมฟ้องว่าเรือนพิพาทเปนของโจทก์แต่ผู้เดียว ทั้งยังได้ความว่าจำเลยยังมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยุ่ด้วย ดังนี้คดีก็ต้องยกฟ้อง จะให้พิจารณาเลยไปถึงสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมด้วยนั้น เป็นการเกินกว่าโจทก์กล่าวในฟ้อง ไม่มีประเด็นจะพึงพิจารณาให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณค่าปรับในคดีมูลฝิ่นตาม พ.ร.บ.ฝิ่น ต้องใช้ราคามูลฝิ่น ไม่ใช่ราคาฝิ่น
พ.ร.บ.ฝิ่น พ.ศ. 2472 มาตรา 53 ซึ่งได้แก้ไขใหม่ โดย พ.ร.บ.ฝิ่น ( ฉบับที่ 4 ) 2481 มาตรา 6 หาได้ประสงค์จะให้ถือเอา " ราคาฝิ่น " มาตั้งเป็นเกณฑ์คำนวณค่าปรับในคดีเรื่อง " มูลผิ่น " เหมือนมาตรา 51 ไม่เพราะความตอนท้าย 2 วรรคที่บัญญัติในเรื่อง " ราคาฝิ่น " และ " ราคามูลฝิ่น " อันจะตั้งเป็นเกณฑ์คำนวณค่าปรับนั้น วรรคหลังบัญญัติว่า " ราคามูลฝิ่น..." ให้ถือเอา " ราคาฝิ่น " ตามวรรคก่อนแต่ " ราคาฝิ่น " ตามวรรคก่อนนั้นให้ถือเอา " ราคาฝิ่น " หรือ " ราคามูลฝิ่น " แล้วแต่กรณี ฉะนั้นเมื่อกรณีเป็นเรื่อง " มูลฝิ่น " ก็ตต้องถือเอาราคามูลฝิ่นตั้งเป็นเกณฑ์ค่าปรับ เมื่อรัฐบาลมิได้ขาย " มูลผิ่น " จึงไม่มีราคามูลฝิ่นที่รัฐบาลขายมาตั้งเป็นเกณฑ์คำนวณค่าปรับ ก็ต้องปรับตามคั่น+ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น