พบผลลัพธ์ทั้งหมด 26 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3574/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การและผลกระทบต่อการดำเนินกระบวนพิจารณา: ศาลต้องไต่สวนก่อนมีคำสั่ง
วันนัดสืบพยานโจทก์วันที่27ธันวาคม2536ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าวจำเลยได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การเมื่อวันที่21ธันวาคม2536โดยอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การศาลชั้นต้นสั่งคำร้องจำเลยในวันดังกล่าวว่า"สำเนาให้โจทก์นัดไต่สวนให้จำเลยนำส่งภายใน7วันไม่พบหรือไม่มีผู้รับให้ปิด"กรณีดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้แจ้งให้ศาลทราบก่อนเริ่มสืบพยานถึงเหตุที่ตนมิได้ยื่นคำให้การทั้งข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่หรือว่าจำเลยมีเหตุสมควรประการอื่นอย่างใดศาลชอบที่จะได้ทำการไต่สวนเสียก่อนก่อนที่จะมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การซึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดวันนัดไต่สวนไว้ด้วยก็ตามก็ต้องถือว่าคดีอยู่ระหว่างการนัดไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การดังนั้นกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่27ธันวาคม2536ซึ่งยังอยู่ในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การให้แก่โจทก์นั้นย่อมถือว่ายกเลิกไปโดยปริยายที่ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่27ธันวาคม2536ว่านัดสืบพยานโจทก์และนัดไต่สวนขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยจำเลยไม่มาศาลในวันดังกล่าวถือว่าจำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนคำร้องให้ฟังได้ว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยมิได้เป็นไปโดยจงใจและยกคำร้องนั้นจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา199วรรคหนึ่งและวรรคสองเพราะศาลชั้นต้นมิได้นัดไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยในวันดังกล่าวและการที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบเช่นกันเพราะคดียังอยู่ในระหว่างระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอยื่นคำให้การแก่โจทก์และวันนัดสืบพยานโจทก์เป็นอันยกเลิกไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2443/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเอกสารให้พยานฝ่ายตรงข้ามดูแล้วส่งศาล ถือเป็นการสืบพยานหลักฐานนอกอำนาจจำเลยขาดนัด
เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์ไม่มีสิทธินำพยานของจำเลยเข้าสืบไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสารการที่จำเลยนำเอกสารมาให้พยานโจทก์ดูประกอบการถามค้านพยานโจทก์แล้วส่งเอกสารนั้นต่อศาลโดยที่พยานโจทก์ไม่ได้เบิกความรับรองข้อความในเอกสารดังกล่าวเท่ากับจำเลยเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา199วรรคสองจึงต้องห้ามมิให้รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2443/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเอกสารให้พยานโจทก์ดูแล้วส่งต่อศาลโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ถือเป็นการสืบพยานหลักฐานของจำเลยและศาลไม่ควรนำมาวินิจฉัย
เมื่อศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา199วรรคสองการที่จำเลยนำเอกสารมาให้พยานโจทก์ดูประกอบการถามค้านแล้วส่งเอกสารนั้นต่อศาลโดยที่พยานโจทก์ไม่ได้เบิกความรับรองข้อความในเอกสารเท่ากับจำเลยเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบจึงต้องห้ามมิให้รับฟังการที่ศาลนำเอาเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบคำเบิกความของตัวจำเลยจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2443/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ สิทธิการสืบพยานหลักฐานถูกจำกัด
เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์ ไม่มีสิทธินำพยานของจำเลยเข้าสืบ ไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสาร การที่จำเลยนำเอกสารมาให้พยานโจทก์ดูประกอบการถามค้านพยานโจทก์แล้วส่งเอกสารนั้นต่อศาล โดยที่พยานโจทก์ไม่ได้เบิกความรับรองข้อความในเอกสารดังกล่าวเท่ากับจำเลยเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสอง จึงต้องห้ามมิให้รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ยื่นบัญชีระบุพยานทำให้จำเลยไม่มีสิทธิสาบานตนเบิกความได้ แม้จะอ้างเหตุขาดนัดยื่นคำให้การ
การที่จำเลยไม่ยื่นบัญชีระบุพยานจำเลยไม่มีสิทธิสาบานตนให้การเป็นพยานได้เพราะมีกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา85และ87บัญญัติเรื่องการไม่ยื่นบัญชีระบุพยานไว้โดยชัดแจ้งอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องนำเรื่องขาดนัดยื่นคำให้การอันเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับบังคับใช้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ยื่นบัญชีระบุพยานทำให้จำเลยไม่มีสิทธิสาบานตน
การที่จำเลยไม่ยื่นบัญชีระบุพยาน จำเลยไม่มีสิทธิสาบานตนให้การเป็นพยานได้เพราะมีกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 85 และ 87บัญญัติเรื่องการไม่ยื่นบัญชีระบุพยานไว้โดยชัดแจ้งอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องนำเรื่องขาดนัดยื่นคำให้การอันเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับบังคับใช้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การและผลกระทบต่อการต่อสู้คดี รวมถึงการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่สอดคล้องกับคำฟ้อง
จำเลยป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อมหรือข้อกระดูกสันหลังติดมีอาการปวดหลัง แพทย์ให้การรักษาโดยวิธีกายภาพบำบัดและฝังเข็มความไม่ปรากฏตามความเห็นของแพทย์ว่า อาการป่วยของจำเลยรุนแรงถึงขนาดจำเลยลุกขึ้นเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ หรือมีความจำเสื่อมจนจดจำอะไรไม่ได้แต่อย่างใด ฉะนั้น อาการป่วยของจำเลยจึงไม่ใช่สาเหตุแห่งการขาดนัดยื่นคำให้การดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างดังนั้น เมื่อจำเลยรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยชอบแล้วจำเลยไม่ยื่นคำให้การหรือแจ้งเหตุขัดข้องต่อศาลชั้นต้นเสียภายในกำหนด 8 วันนับแต่วันรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ..... มาตรา 177 เดิม จำเลยก็ได้ชื่อว่าจงใจขาดนัดยื่นคำให้การชอบที่ศาลชั้นต้นจะไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 วรรคสอง จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทเป็นสัญญาปลอมนั้น เมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีจึงไม่มีประเด็นในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามที่จำเลยอุทธรณ์ก็ถือว่าเป็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.....มาตรา 249 วรรคแรก ในคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์ได้ชำระเงินในวันทำสัญญา52,220 บาท แต่ในชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความว่า โจทก์ชำระเงินค่าซื้อในวันทำสัญญาเพียง 2,220 บาท และในสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นหลักฐานแห่งการชำระเงินในวันทำสัญญาระบุว่าจำเลยได้รับเงินค่าซื้อจากโจทก์ 52,000 บาท ไม่ใช่จำนวน 52,220 บาท ก็ตาม แต่โจทก์ก็นำสืบอธิบายได้ว่ามีการนำยอดเงินจำนวน 50,000 บาท ที่จำเลยรับจากโจทก์ล่วงหน้าไปแล้วมาหักออกก่อน ส่วนอีก 2,220 บาท โจทก์เห็นว่าเป็นจำนวนเงินเพียงเล็กน้อยโจทก์จึงไม่ได้ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงินด้วย ข้อนำสืบของโจทก์ดังกล่าว จึงไม่ใช่ข้อนำสืบที่แตกต่างหรือขัดแย้งกับคำฟ้องหรือพยานหลักฐานของโจทก์ หากแต่เป็นการนำสืบอธิบายถึงความเป็นมาแห่งยอดเงินที่ได้ชำระในวันทำสัญญาว่า มีความเป็นมาอย่างไร จึงรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ สิทธิในการสืบพยานจำกัด ประเด็นข้อพิพาทจำกัดเฉพาะข้ออ้างในฟ้อง
เมื่อศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างพยานเอกสารมาสืบ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และศาลชั้นต้นไม่ได้อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์ที่ว่าสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยเป็นผู้ได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดยื่นคำให้การ-สิทธิจำกัด-เจ้าของรวมฟ้องรบกวนได้-อำนาจฟ้อง
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงเท่ากับมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่ดินนั้นได้ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดคดีให้ตนเป็นฝ่ายชนะโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดไม่มาศาลนั้นไม่ได้ แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะคดีต่อเมื่อเห็นว่าข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านั้นมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดโดยพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ว่ามีน้ำหนักให้รับฟังแล้วเช่นนี้ย่อมไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นการจงใจและไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานนั้นชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 199วรรคสองแล้ว โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินมี ส.ค.1 คนหนึ่งย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ที่มารบกวนหรือแย่งที่ดินนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 แม้มาตรา 1359 จะอยู่ในหมวดกรรมสิทธิ์รวมก็ตาม ย่อมนำมาใช้บังคับในหมวดว่าด้วยการครอบครองได้ เพราะมีลักษณะเป็นเจ้าของรวมเหมือนกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลพิจารณาพยานโจทก์และวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องรับฟังพยานจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงเท่ากับมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่ดินนั้นได้ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดคดีให้ตนเป็นฝ่ายชนะโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดไม่มาศาลนั้นไม่ได้ แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะคดีต่อเมื่อเห็นว่าข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านั้นมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดโดยพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ว่ามีน้ำหนักให้รับฟังแล้วเช่นนี้ ย่อมไม่ขัดต่อกฎหมาย
เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นการจงใจและไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานนั้นชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสองแล้ว
โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินมี ส.ค.1 คนหนึ่งย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ที่มารบกวนหรือแย่งที่ดินนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 แม้มาตรา 1359 จะอยู่ในหมวดกรรมสิทธิ์รวมก็ตาม ย่อมนำมาใช้บังคับในหมวดว่าด้วยการครอบครองได้ เพราะมีลักษณะเป็นเจ้าของรวมเหมือนกัน
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องต่อศาลให้วินิจฉัยชี้ขาดคดีให้ตนเป็นฝ่ายชนะโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดไม่มาศาลนั้นไม่ได้ แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะคดีต่อเมื่อเห็นว่าข้ออ้างของคู่ความเช่นว่านั้นมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดโดยพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ว่ามีน้ำหนักให้รับฟังแล้วเช่นนี้ ย่อมไม่ขัดต่อกฎหมาย
เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นการจงใจและไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานนั้นชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสองแล้ว
โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินมี ส.ค.1 คนหนึ่งย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ที่มารบกวนหรือแย่งที่ดินนั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 แม้มาตรา 1359 จะอยู่ในหมวดกรรมสิทธิ์รวมก็ตาม ย่อมนำมาใช้บังคับในหมวดว่าด้วยการครอบครองได้ เพราะมีลักษณะเป็นเจ้าของรวมเหมือนกัน