คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 243 (2)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 288 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3489/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งสิทธิและการฟ้องละเมิด แม้ยังไม่มีการฟ้องร้องก่อนหน้า โจทก์มีอำนาจฟ้องได้หากได้รับความเสียหาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้โจทก์ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองโดยอ้างว่าโจทก์เป็นหนี้ค้างชำระแก่จำเลยทั้งสองทั้งๆที่โจทก์ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสองจนหนังสือพิมพ์รายวันลงข่าวเป็นเหตุให้โจทก์และครอบครัวได้รับความเดือดร้อนโดยโจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกผู้ไม่รู้ข้อเท็จจริงดูหมิ่นขาดความเชื่อถือในสังคมและเพื่อนฝูงในวงราชการหากเป็นความจริงย่อมเป็นละเมิดถือว่าโจทก์ถูกจำเลยที่1โต้แย้งสิทธิแล้วโดยไม่จำเป็นที่โจทก์ต้องถูกจำเลยที่1ฟ้องร้องก่อน โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค1เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องและไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอในอุทธรณ์ได้โดยไม่ต้องสืบพยานก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไปได้โดยโจทก์หาจำต้องมีคำขอให้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3489/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาให้รับฟ้องโดยไม่ต้องสืบพยานในคดีละเมิดจากการบอกกล่าวเลิกสัญญาและการบังคับจำนองที่อ้างหนี้เท็จ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ให้โจทก์ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองโดยอ้างว่าโจทก์เป็นหนี้ค้างชำระแก่จำเลยทั้งสอง ทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสอง จนหนังสือพิมพ์รายวันลงข่าวเป็นเหตุให้โจทก์และครอบครัวได้รับความเดือดร้อน โดยโจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกผู้ไม่รู้ข้อเท็จจริงดูหมิ่น ขาดความเชื่อถือในสังคมและเพื่อนฝูงในวงราชการ หากเป็นความจริงย่อมเป็นละเมิดถือว่าโจทก์ถูกจำเลยที่ 1 โต้แย้งสิทธิแล้ว โดยไม่จำเป็นที่โจทก์ต้องถูกจำเลยที่ 1ฟ้องร้องก่อน
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องและไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอในอุทธรณ์ได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไปได้ โดยโจทก์หาจำต้องมีคำขอให้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2995/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นข้อพิพาทใหม่ไม่เหมือนเดิม แม้จะอ้างเอกสารเดียวกัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถูกต้อง
โจทก์และจำเลยคดีนี้เป็น คู่ความเดียวกันกับโจทก์และจำเลยในคดีก่อนแต่ในคดีก่อนศาลชั้นต้น กำหนดประเด็นข้อพิพาทและวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากภายในระยะเวลาหรือไม่ส่วนคดีนี้ประเด็นในคดีมีว่าบันทึกที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ทำขึ้นเป็นคำมั่นไว้ว่าถ้าโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบตามจำนวนหนี้จำเลยยินยอมโอนที่พิพาทคืนแก่โจทก์นั้นจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่อันมิใช่ประเด็นเดียวกันกับประเด็นในคดีก่อนแม้คดีก่อนโจทก์จะได้กล่าวอ้างถึงบันทึกดังกล่าวแต่ศาลชั้นต้นก็ไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และแม้โจทก์จะอุทธรณ์ในปัญหาว่าบันทึกดังกล่าวจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ด้วยแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1ก็ไม่รับวินิจฉัยให้เนื่องจากเห็นว่าปัญหาดังกล่าวมิได้กำหนดเป็น ประเด็นข้อพิพาทมาแต่ศาลชั้นต้นดังนั้นประเด็นในคดีนี้จึงเป็นประเด็นที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลคดีนี้จึง ไม่เป็น ฟ้องซ้ำ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าคดีนี้ ไม่เป็น ฟ้องซ้ำแต่พิพากษากลับนั้นยังไม่ถูกต้องต้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2995/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นข้อพิพาทใหม่ที่ไม่เคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาด
โจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับโจทก์และจำเลยในคดีก่อน คดีก่อนศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทและวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากภายในระยะเวลาหรือไม่ ส่วนคดีนี้ ประเด็นในคดีมีว่า บันทึกข้อตกลงที่ว่าถ้าโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบตามจำนวนหนี้ จำเลยยินยอมโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ ถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่อันไม่ใช่ประเด็นเดียวกันกับประเด็นในคดีก่อน แม้ศาลชั้นต้นจะกล่าวอ้างถึงบันทึกดังกล่าวด้วย แต่ไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และแม้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาว่าบันทึกดังกล่าวจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ด้วยก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าปัญหาดังกล่าวมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทมาแต่ศาลชั้นต้น จึงไม่รับวินิจฉัยให้ ดังนั้นประเด็นในคดีนี้จึงเป็นประเด็นที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาล คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่พิพากษากลับนั้นไม่ถูกต้อง ต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2898/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งวันนัดสืบพยานที่ถูกต้องตามกฎหมาย การขาดนัดพิจารณาคดี และการเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
เมื่อเจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองมิได้เพราะบ้านของจำเลยทั้งสองตามภูมิลำเนาที่โจทก์ฟ้องได้ถูกรื้อถอนไปแล้วโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า"อนุญาต"ซึ่งเท่ากับอนุญาตให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์เท่านั้นแต่ศาลชั้นต้นกลับประกาศหนังสือพิมพ์นัดสืบพยานโจทก์ด้วยโดยไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้โจทก์ทราบจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วแม้จะปรากฎว่าทนายโจทก์ได้ส่งโทรสารแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่อาจไปศาลในวันนั้นได้แต่ตามโทรสารทนายโจทก์ก็เข้าใจว่าเป็นวันนัดพร้อมไม่พอฟังว่าทนายโจทก์ได้ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์เช่นกันดังนั้นที่ศาลชั้นต้นถือว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณาและมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา200จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวเสียแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2898/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกโดยการประกาศทางหนังสือพิมพ์ และผลกระทบต่อการนัดสืบพยานที่ไม่ถูกต้อง
เมื่อเจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองมิได้เพราะบ้านของจำเลยทั้งสองตามภูมิลำเนาที่โจทก์ฟ้องได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำแถลง ขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า"อนุญาต" ซึ่งเท่ากับอนุญาตให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์เท่านั้น แต่ศาลชั้นต้นกลับประกาศหนังสือพิมพ์นัดสืบพยานโจทก์ด้วย โดยไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้โจทก์ทราบ จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว แม้จะปรากฏว่าทนายโจทก์ได้ส่งโทรสารแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่อาจไปศาลในวันนั้นได้ แต่ตามโทรสารทนายโจทก์ก็เข้าใจว่าเป็นวันนัดพร้อม ไม่พอฟังว่าทนายโจทก์ได้ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์เช่นกัน ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นถือว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา และมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตาม ป.วิ.พ.มาตรา 200จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวเสีย แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทเรื่องผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลต้องสืบพยานตามประเด็นที่คู่ความโต้แย้ง
ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การยังฟังไม่ได้เป็นยุติว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายศาลชั้นต้นจะต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทลงไว้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และให้คู่ความนำพยานหลักฐานมาสืบตามประเด็นดังกล่าวต่อไปดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา183วรรคสองบัญญัติไว้การที่ศาลชั้นต้นงดชี้สองสถานไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทตามข้อต่อสู้ของจำเลยและให้รอฟังคำพิพากษาโดยไม่ต้องสืบพยานเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทผู้ทรงเช็ค: ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์สถานะผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย
ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การยังฟังไม่ได้เป็นยุติว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นจะต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทลงไว้ว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และให้คู่ความนำพยานหลักฐานมาสืบตามประเด็นดังกล่าวต่อไป ดังที่ ป.วิ.พ. มาตรา183 วรรคสอง บัญญัติไว้ การที่ศาลชั้นต้นงดชี้สองสถานไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทตามข้อต่อสู้ของจำเลย และให้รอฟังคำพิพากษาโดยไม่ต้องสืบพยาน เป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2288/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิด: ศาลต้องให้สืบพยานหากจำเลยยกอายุความเป็นข้อต่อสู้
แม้ตาม คำฟ้องของโจทก์จะมิได้บรรยายให้เห็นว่าเหตุใดโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีได้แม้จะเกินระยะเวลาตามอายุความแต่หากจำเลยไม่ได้ให้การว่าคดีโจทก์ขาดอายุความศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้อง ไม่ได้ อายุความจึงไม่ใช่ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งข้อเท็จจริงที่จะนำมาวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความแล้วยังไม่ปรากฏชัดในคำฟ้องจึงเป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความต้องนำสืบต่อไปจนสิ้นกระแสความการที่ศาลชั้นต้นเพียง ตรวจคำฟ้องและ คำให้การที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วสั่ง งดสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งแปดแล้วพิพากษา ยกฟ้องและศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษายืนตามจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2248/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินหลังปฏิรูปที่ดิน: สิทธิของผู้เช่าและผลกระทบของนิติกรรม
ตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518มาตรา 32 กำหนดไว้ชัดว่า เมื่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจัดซื้อที่ดินแล้ว สิทธิของผู้เช่าที่ดินตามสัญญาเช่าหรือตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเช่านาต้องสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นผลของกฎหมาย โดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้เช่าจะเป็นใครหรือเช่าอยู่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านาหรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 และ ท.ผู้ตายบุตรของจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว ก็ถือว่าสัญญาเช่าที่ดินที่มีอยู่ระหว่างจำเลยที่ 1 และ ท.กับจำเลยที่ 3 ได้สิ้นสุดลง จำเลยที่ 1และ ท.ไม่จำต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่ 3 ผู้เช่าซื้อที่ดินก่อน หรือและไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยที่ 3 จะต้องทราบก่อนว่าจะมีการซื้อขายที่ดินกันหรือไม่ ส่วน พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 เป็นกฎหมายที่บัญญัติสืบเนื่องมาจากพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ซึ่งถูกยกเลิกไป เหตุที่ต้องแก้ไขยกเลิกก็เพราะ พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มีรายละเอียดไม่เหมาะสมและแก้ไขเพื่อให้สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หาได้แก้ไขให้มีผลกระทบถึงพ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ไม่ ผู้เช่าย่อมอยู่ในบังคับที่จะต้องปฏิรูปตามมาตรา 32 นี้ด้วย จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจอ้างสิทธิตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มายันโจทก์ผู้จะซื้อได้ และจำเลยที่ 2ผู้รับมรดกของ ท.ซึ่งต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจะซื้อขายด้วย จึงต้องจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย และเมื่อจำเลยที่ 2 ได้ยกที่ดินดังกล่าวอันเป็นมรดกของ ท.ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะร้องขอให้เพิกถอนได้
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตาม ป.พ.พ.มาตรา 237,238 ซึ่งศาลจะมีคำพิพากษาให้บังคับตามคำขอของโจทก์ได้ก็ต่อเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ทำนิติกรรมตามฟ้องโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ทั้งไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมยกให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 ผู้ให้กับจำเลยที่ 1 ผู้รับให้ซึ่งเป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 1 จะโอนขายให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 237 ประกอบด้วยมาตรา 238 และโจทก์ได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไว้ แม้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงกันมาเสร็จสิ้นเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้ก็ตาม แต่เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ศาลฎีกาจึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัยในปัญหาข้อนี้
of 29