พบผลลัพธ์ทั้งหมด 288 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3603/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งสำเนาอุทธรณ์, เหตุสมควรไม่มาศาล, และการพิจารณาคดีโดยชอบด้วยกฎหมาย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200 กำหนดให้ศาลส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง ดังนี้เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์จึงเป็นหน้าที่ของศาลที่จะส่งสำเนาให้จำเลยโดยตรง โจทก์ไม่จำต้องวางเงินค่าส่งสำเนาอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมิได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาการพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงขัดต่อบทบัญญัติมาตรา200 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยชัดแจ้ง แต่เนื่องจากระยะเวลาที่จะปฏิบัติตามขั้นตอนได้ล่วงเลยมาจนศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 181 กำหนดให้นำบทบัญญัติในมาตรา 139 และ 166 มาบังคับแก่การพิจารณาโดยอนุโลมดังนั้นศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะยกมาตรา 166 ดังกล่าวมาปรับแก่คดีในชั้นพิจารณาได้ โจทก์อ้างว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ ตัวโจทก์อยู่ที่จังหวัด สกลนคร เพื่อจัดการงานศพของมารดาภรรยาโจทก์ และต้องดูแลอาการป่วยของภรรยาโจทก์ กับโจทก์เข้าใจว่าในวันนัดดังกล่าวทนายโจทก์จะสืบพยานคนอื่นก่อน ส่วนโจทก์จะเข้าสืบในวันนัดภายหลัง โจทก์มิได้จงใจที่จะไม่มาศาลตามกำหนดนัด และโจทก์ไม่ทราบมาก่อนว่าทนายโจทก์ขอถอนตัวออกจากเป็นทนายให้โจทก์ กรณีดังกล่าวหากเป็นความจริงตามคำร้อง ของ โจทก์ก็ถือว่าโจทก์ได้แสดงให้ศาลเห็นได้ว่ามีเหตุสมควรจึงมาไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นด่วนวินิจฉัยสั่งยกคำร้องของโจทก์เสียโดยไม่ไต่สวนนั้นเป็นการไม่ชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 803-807/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณบำเหน็จต้องใช้ข้อมูลในสำนวน ศาลมิอาจวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ไม่มีในสำนวน
จำเลยได้จ่ายบำเหน็จให้แก่โจทก์รับไปแล้วบางส่วน ซึ่งเป็นการจ่ายตามข้อบังคับของจำเลยที่มีอยู่ และจำเลยทราบถึงข้อบังคับดังกล่าวดีแล้ว เพียงแต่จำเลยไม่นำค่าครองชีพมารวมคำนวณบำเหน็จให้โจทก์เท่านั้น โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยจ่ายบำเหน็จเฉพาะส่วนที่ขาดโดยตามฟ้องได้ระบุจำนวนค่าครองชีพที่โจทก์ได้รับในแต่ละเดือน และจำนวนเงินที่จำเลยจ่ายขาดไป เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับในส่วนนี้พอที่จำเลยจะเข้าใจได้แล้ว ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ไม่เคลือบคลุม ในสำนวนไม่มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณบำเหน็จที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ค่าครองชีพเป็นค่าจ้างต้องนำมารวมกับค่าจ้างเพื่อคำนวณบำเหน็จ เมื่อจำเลยไม่นำมารวมคำนวณจำเลยจึงจ่ายบำเหน็จให้โจทก์ขาดไปเท่ากับค่าครองชีพที่โจทก์ได้รับแต่ละเดือนคูณด้วยจำนวนปีที่โจทก์ทำงาน จึงเป็นการวินิจฉัยคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ไม่มีในสำนวน ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางสืบพยานและวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปว่า ตามข้อบังคับของจำเลยได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณบำเหน็จว่าอย่างไร และโจทก์จะได้รับบำเหน็จเพียงใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5898/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่มิชอบตามกฎหมายล้มละลายและการเพิกถอนการพิจารณา
คดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่ลูกหนี้โดยวิธีปิดหมายซึ่งจะมีผลต่อเมื่อ 15 วันล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 19 และต้องให้ลูกหนี้ทราบก่อนวันนัดพิจารณาไม่น้อยกว่า 7 วัน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 13 การที่ศาลชั้นต้นให้เวลาน้อยกว่า7 วันและสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไป จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง โดยมิต้องคำนึงว่าคู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้วหรือไม่ เพราะมิใช่กรณีที่คู่ความยกขึ้นคัดค้านตามมาตรา 27 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5898/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนัดพิจารณาคดีล้มละลายไม่ถูกต้องตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ศาลมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาได้
ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องไปยังลูกหนี้ให้ทราบก่อนวันนัดพิจารณาคดีล้มละลายน้อยกว่า 7 วัน การนัดสืบพยานโจทก์จึงมิได้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอนเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง โดยมิต้องคำนึงว่าคู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้วหรือไม่ เพราะมิใช่เป็นกรณีที่คู่ความยกขึ้นคัดค้านตามมาตรา 27 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2967/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อสืบพยานเพิ่มเติมได้ หากจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยคดี
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น อ้างว่าศาลอุทธรณ์ควรฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้อง แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามคำฟ้อง แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ขอให้ย้อนสำนวนก็ตามแต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่ากรณีไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอในอุทธรณ์ของโจทก์ได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษา ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2967/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาย้อนสำนวน แม้โจทก์มิได้ขอ แต่เพื่อเปิดโอกาสให้คู่ความต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น อ้างว่าศาลอุทธรณ์ควรฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้อง แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามคำฟ้อง แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ขอให้ย้อนสำนวนก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่ากรณีไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอในอุทธรณ์ของโจทก์ได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษา ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีแรงงานต้องอาศัยการสืบพยานเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงเรื่องการกระทำผิดวินัยร้ายแรง การงดสืบพยานโดยอาศัยเพียงเอกสารไม่เพียงพอ
ตามคำฟ้องและคำให้การคดีมีประเด็นหลักที่ต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า คู่ความแถลงรับกันว่าข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมีอยู่เป็นไปตามคำฟ้อง คำให้การเอกสารท้ายฟ้องท้ายคำให้การ...แล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาคดีไปนั้น เห็นได้ว่า ข้อเท็จจริงย่อมจะเป็นไปตามข้ออ้างข้อหาในคำฟ้องและขณะเดียวกันก็เป็นไปตามคำให้การด้วยไม่ได้ลำพังเอกสารที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกขึ้นอ้าง ยังไม่เพียงพอแก่การที่จะวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นในคดี จึงเป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยการพิจารณา ต้องย้อนสำนวนไปให้พิจารณาพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีวินัยร้ายแรง: การงดสืบพยานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตามคำฟ้องและคำให้การคดีมีประเด็นหลักที่ต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า คู่ความแถลงรับกันว่าข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมีอยู่เป็นไปตามคำฟ้องคำให้การ เอกสารท้ายฟ้องท้ายคำให้การ......แล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาคดีไปนั้น เห็นได้ว่า ข้อเท็จจริงย่อมจะเป็นไปตามข้ออ้างข้อหาในคำฟ้องและขณะเดียวกันก็เป็นไปตามคำให้การด้วยไม่ได้ ลำพังเอกสารที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกขึ้นอ้าง ยังไม่เพียงพอแก่การที่จะวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นในคดี จึงเป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยการพิจารณา ต้องย้อนสำนวนไปให้พิจารณาพิพากษาใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5614/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คเพื่อหลักประกัน – การสลักหลัง – สิทธิผู้ทรงเช็ค – การเรียกเงินคืน
หากได้ความตามความเป็นจริงดังที่โจทก์ฟ้องและฎีกาว่าโจทก์สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่บริษัท ส. เพื่อเป็นหลักประกันในการเข้าทำงานของโจทก์ แล้วจำเลยนำไปเข้าบัญชีของจำเลยโดยบริษัท ส. มิได้สลักหลังโอนเช็คให้ก็ถือได้ว่าไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทและจำเลยไม่ใช่ผู้ทรงเช็คนั้น จำเลยหามีสิทธิเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ โจทก์ย่อมเรียกเงินคืนจากจำเลยได้ ที่ศาลชั้นต้นไม่ดำเนินการพิจารณาต่อไปให้ได้ความว่าเป็นความจริงดังโจทก์ฟ้องหรือไม่ แต่มีคำสั่งงดสืบพยานของโจทก์จำเลยเสีย จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4509/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกต้องสืบพยานประเด็นทายาทอื่นเกี่ยวข้องหรือไม่ หากยังไม่ยุติ ศาลมิอาจงดสืบพยานได้
คดีก่อนโจทก์กับพวกฟ้องขับไล่จำเลยกับพวกออกจากที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทคดีนี้ ประเด็นในคดีก่อนมีว่า โจทก์กับพวกมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยกับพวกหรือไม่ แต่คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาทจากจำเลย ประเด็นมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งร่วมกับจำเลยหรือไม่เพียงใด ประเด็นวินิจฉัยคดีทั้งสองมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ซ้ำกับคดีก่อน
โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินมรดกครึ่งหนึ่ง อ้างว่าทายาทอื่นไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดกรายนี้แล้วคงเกี่ยวข้องเฉพาะโจทก์จำเลย จำเลยให้การว่าโจทก์ได้รับส่วนแบ่งที่ดินมรดกไปแล้ว และส่วนที่เหลือตกได้แก่จำเลยกับทายาทอีกคนหนึ่งดังนี้แสดงว่า นอกจากโจทก์จำเลยแล้ว มีทายาทอื่นยังประสงค์ขอรับส่วนแบ่งที่ดินมรดกด้วยซึ่งถ้าหากเป็นความจริง ส่วนแบ่งในที่ดินมรดกที่โจทก์จำเลยจะได้รับย่อมต้องลดลงข้อเท็จจริงยังฟังเป็นยุตไม่ได้ การที่ศาลสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งที่ดินมรดกครึ่งหนึ่งตามฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินมรดกครึ่งหนึ่ง อ้างว่าทายาทอื่นไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดกรายนี้แล้วคงเกี่ยวข้องเฉพาะโจทก์จำเลย จำเลยให้การว่าโจทก์ได้รับส่วนแบ่งที่ดินมรดกไปแล้ว และส่วนที่เหลือตกได้แก่จำเลยกับทายาทอีกคนหนึ่งดังนี้แสดงว่า นอกจากโจทก์จำเลยแล้ว มีทายาทอื่นยังประสงค์ขอรับส่วนแบ่งที่ดินมรดกด้วยซึ่งถ้าหากเป็นความจริง ส่วนแบ่งในที่ดินมรดกที่โจทก์จำเลยจะได้รับย่อมต้องลดลงข้อเท็จจริงยังฟังเป็นยุตไม่ได้ การที่ศาลสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งที่ดินมรดกครึ่งหนึ่งตามฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบ