พบผลลัพธ์ทั้งหมด 288 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4240/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสืบพยาน การนำสืบ การรับรองเอกสาร และค่าฤชาธรรมเนียมในคดีมรดก
โจทก์ขอเลื่อนคดีโดยแถลงยอมผูกมัดตนเองว่าหากนัดหน้าไม่ได้พยานมาก็จะไม่ติดใจสืบ ดังนี้ เมื่อถึงวันนัดโจทก์ยังไม่ได้ตัวพยานมาศาลอีกก็ต้องถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานปากนี้ตามที่เคยแถลงไว้ ไม่ว่าพยานจะได้รับหมายเรียกไว้แล้วหรือไม่ก็ตาม
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน และโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้โดยชอบแล้ว แม้การกำหนดหน้าที่นำสืบดังกล่าวจะไม่ชอบไม่ถูกต้องจริงหรือไม่ก็ตาม หากคู่ความได้สืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้ว และการกำหนดหน้าที่นำสืบดังกล่าวก็ไม่ทำให้เหตุผลแห่งการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นได้ กรณีจึงไม่สมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานใหม่
คดีมีประเด็นข้อพิพาทกันมาแต่ต้น โดยโจทก์สามารถนำพยานมาเบิกความต่อศาลได้ แต่ก็ไม่ได้นำมา การที่โจทก์ขอนำพยานดังกล่าวมาเบิกความหลังจากสืบพยานจำเลยเสร็จแล้ว ย่อมเป็นการเพิ่มเติมคดีของโจทก์ที่บกพร่องอยู่และพ้นเวลาที่โจทก์จะนำพยานเข้าสืบตามกฎหมายแล้ว จึงไม่สมควรอนุญาตให้โจทก์สืบพยาน
แม้ทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมและคำร้องขอจดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมจะเป็นเอกสารมหาชน แต่คู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันก็นำพยานหลักฐานอื่นมาสืบหักล้างได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127
การได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 157 นั้น เป็นคนละเรื่องกับความรับผิดของคู่ความฝ่ายแพ้คดีที่จะต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา161 ดังนั้น แม้โจทก์จะได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาแล้ว แต่ถ้าแพ้คดี ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยได้
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน และโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้โดยชอบแล้ว แม้การกำหนดหน้าที่นำสืบดังกล่าวจะไม่ชอบไม่ถูกต้องจริงหรือไม่ก็ตาม หากคู่ความได้สืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้ว และการกำหนดหน้าที่นำสืบดังกล่าวก็ไม่ทำให้เหตุผลแห่งการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นได้ กรณีจึงไม่สมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานใหม่
คดีมีประเด็นข้อพิพาทกันมาแต่ต้น โดยโจทก์สามารถนำพยานมาเบิกความต่อศาลได้ แต่ก็ไม่ได้นำมา การที่โจทก์ขอนำพยานดังกล่าวมาเบิกความหลังจากสืบพยานจำเลยเสร็จแล้ว ย่อมเป็นการเพิ่มเติมคดีของโจทก์ที่บกพร่องอยู่และพ้นเวลาที่โจทก์จะนำพยานเข้าสืบตามกฎหมายแล้ว จึงไม่สมควรอนุญาตให้โจทก์สืบพยาน
แม้ทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมและคำร้องขอจดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมจะเป็นเอกสารมหาชน แต่คู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันก็นำพยานหลักฐานอื่นมาสืบหักล้างได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127
การได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 157 นั้น เป็นคนละเรื่องกับความรับผิดของคู่ความฝ่ายแพ้คดีที่จะต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา161 ดังนั้น แม้โจทก์จะได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาแล้ว แต่ถ้าแพ้คดี ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4240/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสืบพยาน การเปลี่ยนแปลงหน้าที่นำสืบ เอกสารมหาชน และค่าฤชาธรรมเนียมในคดีมรดก
โจทก์ขอเลื่อนคดีโดยแถลงยอมผูกมัดตนเองว่าหากนัดหน้าไม่ได้พยานมาก็จะไม่ติดใจสืบ ดังนี้ เมื่อถึงวันนัดโจทก์ยังไม่ได้ตัวพยานมาศาลอีกก็ต้องถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานปากนี้ตามที่เคยแถลงไว้ ไม่ว่าพยานจะได้รับหมายเรียกไว้แล้วหรือไม่ก็ตาม
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน และโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้โดยชอบแล้ว แม้การกำหนดหน้าที่นำสืบดังกล่าวจะไม่ชอบไม่ถูกต้องจริงหรือไม่ก็ตาม หากคู่ความได้สืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้ว และการกำหนดหน้าที่นำสืบดังกล่าวก็ไม่ทำให้เหตุผลแห่งการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นได้ กรณีจึงไม่สมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานใหม่
คดีมีประเด็นข้อพิพาทกันมาแต่ต้น โดยโจทก์สามารถนำพยานมาเบิกความต่อศาลได้ แต่ก็ไม่ได้นำมา การที่โจทก์ขอนำพยานดังกล่าวมาเบิกความหลังจากสืบพยานจำเลยเสร็จแล้ว ย่อมเป็นการเพิ่มเติมคดีของโจทก์ที่บกพร่องอยู่และพ้นเวลาที่โจทก์จะนำพยานเข้าสืบตามกฎหมายแล้ว จึงไม่สมควรอนุญาตให้โจทก์สืบพยาน
แม้ทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมและคำร้องขอจดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมจะเป็นเอกสารมหาชน แต่คู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันก็นำพยานหลักฐานอื่นมาสืบหักล้างได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127
การได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 157 นั้น เป็นคนละเรื่องกับความรับผิดของคู่ความฝ่ายแพ้คดีที่จะต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา161 ดังนั้น แม้โจทก์จะได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาแล้ว แต่ถ้าแพ้คดี ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยได้.
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน และโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้โดยชอบแล้ว แม้การกำหนดหน้าที่นำสืบดังกล่าวจะไม่ชอบไม่ถูกต้องจริงหรือไม่ก็ตาม หากคู่ความได้สืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้ว และการกำหนดหน้าที่นำสืบดังกล่าวก็ไม่ทำให้เหตุผลแห่งการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นได้ กรณีจึงไม่สมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานใหม่
คดีมีประเด็นข้อพิพาทกันมาแต่ต้น โดยโจทก์สามารถนำพยานมาเบิกความต่อศาลได้ แต่ก็ไม่ได้นำมา การที่โจทก์ขอนำพยานดังกล่าวมาเบิกความหลังจากสืบพยานจำเลยเสร็จแล้ว ย่อมเป็นการเพิ่มเติมคดีของโจทก์ที่บกพร่องอยู่และพ้นเวลาที่โจทก์จะนำพยานเข้าสืบตามกฎหมายแล้ว จึงไม่สมควรอนุญาตให้โจทก์สืบพยาน
แม้ทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมและคำร้องขอจดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมจะเป็นเอกสารมหาชน แต่คู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันก็นำพยานหลักฐานอื่นมาสืบหักล้างได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127
การได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 157 นั้น เป็นคนละเรื่องกับความรับผิดของคู่ความฝ่ายแพ้คดีที่จะต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา161 ดังนั้น แม้โจทก์จะได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาแล้ว แต่ถ้าแพ้คดี ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต้องเป็นธรรมและปฏิบัติตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ การเลิกจ้างก่อนเกษียณอายุเป็นเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ประกาศของจำเลยเรื่องการลาออกเนื่องจากเกษียณอายุกำหนดให้พนักงานตั้งแต่หัวหน้าแผนกขึ้นไปที่มีอายุครบ 60 ปีเกษียณอายุในวันสิ้นรอบปีบัญชีของจำเลย เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 10 การที่จำเลยออกระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับต่อมากำหนดให้พนักงานหญิงเกษียณเมื่ออายุครบ 45 ปี เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างหญิง และจำเลยมิได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 13ถึงมาตรา 19 ระเบียบและข้อบังคับฉบับหลังจึงไม่มีผลบังคับเพราะขัดกับมาตรา 20 จำเลยจะให้โจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกของจำเลยออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุก่อนโจทก์มีอายุครบ 60 ปีหาได้ไม่ การเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเอกสารท้ายฟ้องและที่คู่ความส่งต่อศาลกับคำแถลงของคู่ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงสั่งงดสืบพยานคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพิพากษายกฟ้อง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวนเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้พิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนนี้.
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเอกสารท้ายฟ้องและที่คู่ความส่งต่อศาลกับคำแถลงของคู่ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงสั่งงดสืบพยานคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพิพากษายกฟ้อง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวนเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้พิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาแก้คำสั่งศาลแรงงานกลาง สั่งให้สืบพยานเพิ่มเติม กรณีพิพาทเลิกจ้างจากข้อกล่าวหาทุจริต
คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการทุจริตต่อหน้าที่การงานอันเป็นความผิดร้ายแรงนั้นเมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านยังให้การต่อสู้อยู่ว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่ ศาลแรงงานจะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องโดยนำคำให้การของพยานชั้นสอบสวน ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนตลอดจนความเห็นแย้งมาวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านมิใช่เป็นกรณีที่ร้ายแรงถึงขนาดเลิกจ้างหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับรองถึงความมีอยู่ ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว ถือว่าเป็นเอกสารที่ผู้ร้องส่งศาลโดยไม่มีพยานบุคคลประกอบ ไม่มีผู้ รับรอง ชอบที่จะดำเนินการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานในคดีแรงงาน: ศาลต้องเปิดโอกาสให้คู่ความนำสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหา
คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการทุจริตต่อหน้าที่การงานอันเป็นความผิดร้ายแรงนั้น เมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านยังให้การต่อสู้อยู่ว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่ศาลแรงงานจะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องโดยนำคำให้การของพยานชั้นสอบสวน ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนตลอดจนความเห็นแย้งมาวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านมิใช่เป็นกรณีที่ร้ายแรงถึงขนาดเลิกจ้างหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับรองถึงความมีอยู่ ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว ถือว่าเป็นเอกสารที่ผู้ร้องส่งศาลโดยไม่มีพยานบุคคลประกอบ ไม่มีผู้รับรอง ชอบที่จะดำเนินการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีต่อไป.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละประเด็นข้อพิพาทและการสืบพยานในประเด็นเดียวที่เหลืออยู่ ศาลต้องวินิจฉัยตามรูปคดี
ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงขอสละประเด็นข้อพิพาททุกข้อคงเหลือเพียงข้อเดียวว่าโจทก์รังวัดเข้ามาในที่ดินของจำเลยหรือไม่ แสดงว่าจำเลยสละข้อต่อสู้อื่น ๆ ทั้งหมด คงให้ศาลสืบพยานและวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวข้อเดียวเป็นข้อแพ้ชนะ ฉะนั้นหากสืบพยานเสร็จฟังได้ว่าโจทก์รังวัดเข้าไปในที่ดินของจำเลย ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง แต่ถ้า ฟังได้ว่าไม่ได้รังวัดเข้าไปในที่ดินของจำเลยก็ต้องพิพากษาบังคับให้จำเลยรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ตามฟ้อง มิใช่ว่าแม้จะพิจารณาได้ความอย่างไรคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็ไม่อาจบังคับตามกฎหมายให้โจทก์ได้ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาจึงชอบที่จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปให้สิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โจทก์ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ มิได้ฎีกาขอให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง ทั้งประเด็นค่าเสียหายโจทก์จำเลยก็สละแล้ว จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลสองร้อยบาท ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ 2(ก).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้กระบวนการพิจารณาคดีเป็นโมฆะ ศาลฎีกามีอำนาจยกคำพิพากษาศาลล่างเพื่อดำเนินกระบวนการใหม่
ศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยโดยวิธีปิดหมาย แต่เจ้าพนักงานศาลกลับส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีปิดหมาย จึงเป็นการไม่ชอบ รายงานการส่งหมายของเจ้าพนักงานศาลก็ขัดแย้งกัน กล่าวคือ ในครั้งแรกรายงานว่าได้ปิดหมายไว้ที่บ้านของจำเลย แต่ในครั้งหลังซึ่งห่างกันเพียงเดือนเศษ รายงานว่าจำเลยรื้อเรือนและไปอยู่ที่อื่นหลายเดือนแล้ว ต้องถือว่าศาลยังมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยและภายหลังแต่นั้นมาเป็นการไม่ชอบ และไม่มีผลตามกฎหมาย
จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันยึดทรัพย์ แต่เมื่อปรากฏว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยให้ถูกต้องแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันยึดทรัพย์ แต่เมื่อปรากฏว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยให้ถูกต้องแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายส่งผลให้กระบวนการพิจารณาคดีเป็นโมฆะ ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาใหม่ได้
ศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยโดยวิธีปิดหมาย แต่เจ้าพนักงานศาลกลับส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีปิดหมาย จึงเป็นการไม่ชอบ รายงานการส่งหมายของเจ้าพนักงานศาลก็ขัดแย้งกัน กล่าวคือ ในครั้งแรกรายงานว่าได้ปิดหมายไว้ที่บ้านของจำเลย แต่ในครั้งหลังซึ่งห่างกันเพียงเดือนเศษ รายงานว่าจำเลยรื้อเรือนและไปอยู่ที่อื่นหลายเดือนแล้ว ต้องถือว่าศาลยังมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยและภายหลังแต่นั้นมาเป็นการไม่ชอบ และไม่มีผลตามกฎหมาย
จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันยึดทรัพย์ แต่เมื่อปรากฏว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยให้ถูกต้องแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันยึดทรัพย์ แต่เมื่อปรากฏว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยให้ถูกต้องแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาและการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่งผลให้ต้องมีการพิจารณาคดีใหม่
กรณีจำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนและไม่มีเหตุผลให้ศาลเห็นเป็นอย่างอื่น ศาลจะต้องสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 แล้วจึงจะทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบตามข้ออ้างและข้อต่อสู้ ให้นัดสืบพยานโจทก์โดยไม่ชี้ลงไปว่าเป็นเรื่องขาดนัดพิจารณา จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้แม้จะไม่ได้โต้แย้งการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไว้ และศาลฎีกาย่อมให้มีการพิจารณาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาและการปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลต้องสั่งขาดนัดก่อนชี้ขาดคดี
กรณีจำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนและไม่มีเหตุผลให้ศาลเห็นเป็นอย่างอื่น ศาลจะต้องสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 แล้วจึงจะทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบตามข้ออ้างและข้อต่อสู้ ให้นัดสืบพยานโจทก์โดยไม่ชี้ลงไปว่าเป็นเรื่องขาดนัดพิจารณา จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้แม้จะไม่ได้โต้แย้งการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไว้ และศาลฎีกาย่อมให้มีการพิจารณาใหม่.