พบผลลัพธ์ทั้งหมด 288 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3354/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกล้างสัญญาประกันชีวิตจากเหตุปกปิดข้อความจริงด้านสุขภาพของผู้เอาประกัน และหน้าที่ของผู้รับประกันภัย
โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามกรมธรรม์ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าสัญญาประกันชีวิตรายพิพาทเป็นแบบประหยัดไม่ต้องให้แพทย์ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันชีวิตก่อน และ พ.ผู้เอาประกันภัย (ผู้ตาย) ได้ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพว่าตนมีสุขภาพสมบูรณ์ที่ไม่เคยเจ็บป่วยหรือได้รับการรักษาพยาบาลด้วยโรคใด ๆ ก่อนขอทำประกัน การที่ พ. ได้ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพทำให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะและจำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้แล้วจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า พ. ผู้เอาประกันภัยได้ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพของตนอันจะเป็นเหตุให้สัญญาตกเป็นโมฆียะและจำเลยมีสิทธิบอกล้างได้หรือไม่และจำเลยได้บอกล้างแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงจะต้องฟังจาการนำสืบของคู่ควมการที่ผู้รับประกันภัยไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยในขณะทำสัญญาประกันภัย จะถือว่าผู้รับประกันภัยไม่ใช้ความระมัดระวังดังเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 866 เสมอไปหาได้ไม่ กรณีจะต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ย่อมอาศัยข้อเท็จจริงในคดีเป็นหลักวินิจฉัย ศาลชั้นต้นจึงยังไม่สมควรที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยในขณะทำสัญญาประกันภัยสัญญาประกันชีวิตที่โจทก์ฟ้องจึงสมบูรณ์แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีโดยยังมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสดความก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1890/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อบ้านจากการขายทอดตลาดบนที่ดินพิพาทที่มีสัญญาซื้อขายก่อนหน้า การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
แม้บ้านพิพาทซึ่งจำเลยซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาลจะปลูกอยู่ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ที่ดินที่ปลูกบ้านพิพาทนั้นโจทก์ได้ทำสัญญาแบ่งขายให้ ล. และยินยอมให้ ล. เข้าไปปลูกบ้านพิพาท ต่อมาโจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมรับชำระราคาที่ดินจากล. ล.จึงฟ้องให้โจทก์รับชำระราคาและโอนที่ดินให้ คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา ก่อนที่จำเลยจะซื้อบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาด ล. ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินที่ซื้อมาจากโจทก์ให้จำเลยและล. จะไปทำการโอนให้แก่ จำเลยเมื่อได้รับโอนจากโจทก์แล้ว ซึ่งโจทก์ก็ทราบและเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดบ้านพิพาทด้วย เมื่อโจทก์ซื้อบ้านพิพาทไม่ได้จึงกลั่นแกล้งนำคดีมาฟ้องขับไล่จำเลย เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตดังนี้ หากเป็นความจริงดังที่จำเลยต่อสู้ การที่ ล. กับ ส. จำเลยในคดีที่ถูกยึดทรัพย์ปลูกบ้านพิพาทลงในที่ดินของโจทก์ก็เป็นการปลูกบ้านโดยมีสิทธิ หากในที่สุดโจทก์แพ้คดี ล. โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยรื้อบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินดังกล่าว และจำเลยย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินดังกล่าวได้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้กับ ล. ถ้าโจทก์รู้ความเช่นนี้แต่ยังมาชิงฟ้องขับไล่จำเลยเสียก่อน เพื่อให้จำเลยได้รับความเสียหาย ก็อาจเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตได้ จึงสมควรที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1890/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดิน สัญญาจะซื้อขาย และการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการฟ้องขับไล่
แม้บ้านพิพาทซึ่งจำเลยซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาลจะปลูกอยู่ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ที่ดินที่ปลูกบ้านพิพาทนั้นโจทก์ได้ทำสัญญาแบ่งขายให้ ล. และยินยอมให้ ล. เข้าไปปลูกบ้านพิพาท ต่อมาโจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมรับชำระราคาที่ดินจากล. ล.จึงฟ้องให้โจทก์รับชำระราคาและโอนที่ดินให้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา ก่อนที่จำเลยจะซื้อบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาด ล. ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินที่ซื้อมาจากโจทก์ให้จำเลยและล. จะไปทำการโอนให้แก่ จำเลยเมื่อได้รับโอนจากโจทก์แล้ว ซึ่งโจทก์ก็ทราบและ เข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดบ้านพิพาทด้วย เมื่อโจทก์ซื้อบ้านพิพาทไม่ได้จึงกลั่นแกล้งนำคดีมาฟ้องขับไล่จำเลย เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ดังนี้ หากเป็นความจริงดังที่จำเลยต่อสู้ การที่ ล. กับ ส. จำเลยใน คดีที่ถูกยึดทรัพย์ปลูกบ้านพิพาทลงในที่ดินของโจทก์ก็เป็นการปลูกบ้านโดยมีสิทธิ หากในที่สุดโจทก์แพ้คดี ล. โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยรื้อบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินดังกล่าว และจำเลยย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินดังกล่าวได้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้กับ ล. ถ้าโจทก์รู้ความเช่นนี้แต่ ยังมาชิงฟ้องขับไล่จำเลยเสียก่อน เพื่อให้จำเลยได้รับความเสียหาย ก็อาจ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตได้จึงสมควรที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและอำนาจศาลอุทธรณ์: คดีซื้อขายที่ดินและบ้านกับคดีขับไล่
คดีก่อนโจทก์ (จำเลยคดีนี้) ฟ้องขับไล่จำเลย (โจทก์คดีนี้) ออกจากบ้านและเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลย (โจทก์คดีนี้) ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ (จำเลยคดีนี้) มิได้เป็นเจ้าของบ้านตามฟ้อง จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า บ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่ ค่าเสียหายมีจำนวนเท่าใดส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขาย ที่ดินและบ้านพิพาททำให้โจทก์เสียหาย จำเลยให้การว่าไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา โจทก์เองเป็นฝ่ายปฏิบัติผิดสัญญา ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายปฏิบัติผิดสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาท จึงเป็นคนละประเด็นกัน และไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกคำสั่งงดชี้สองสถานแล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ อันเป็นการอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยปฏิเสธไม่สืบพยานตามที่โจทก์ร้องขอ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) กรณีเช่นนี้โจทก์หาจำต้องอุทธรณ์คำพิพากษาอีกไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ไม่ผูกพันโจทก์อีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกคำสั่งงดชี้สองสถานแล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ อันเป็นการอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยปฏิเสธไม่สืบพยานตามที่โจทก์ร้องขอ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) กรณีเช่นนี้โจทก์หาจำต้องอุทธรณ์คำพิพากษาอีกไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ไม่ผูกพันโจทก์อีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-ประเด็นต่างกัน: ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ แม้ไม่อุทธรณ์คำพิพากษา
คดีก่อนโจทก์ (จำเลยคดีนี้) ฟ้องขับไล่จำเลย (โจทก์คดีนี้)ออกจากบ้านและเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์จำเลย (โจทก์คดีนี้) ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ (จำเลยคดีนี้) มิได้เป็นเจ้าของบ้านตามฟ้อง จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า บ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่ ค่าเสียหายมีจำนวนเท่าใดส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิด สัญญาจะซื้อขาย ที่ดินและบ้านพิพาททำให้โจทก์เสียหายจำเลยให้การว่าไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา โจทก์เองเป็นฝ่ายปฏิบัติผิดสัญญาประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าฝ่ายใดเป็น ฝ่ายปฏิบัติผิดสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาท จึงเป็นคนละประเด็นกัน และไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกคำสั่งงดชี้สองสถาน แล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่อันเป็นการอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยปฏิเสธไม่สืบพยานตามที่โจทก์ร้องขอศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) กรณีเช่นนี้โจทก์หาจำต้องอุทธรณ์คำพิพากษาอีกไม่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ไม่ผูกพันโจทก์อีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 382/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายฝากไม่สมบูรณ์และประเด็นลาภมิควรได้ การคืนเงินและที่ดิน
สัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะเพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ต้องคืนที่ดินให้จำเลย จำเลยก็ต้องคืนเงินให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 ในลักษณะลาภมิควรได้เพราะเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และทำให้โจทก์เสียเปรียบ ทั้งตามคำฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายถึงเรื่องลาภมิควรได้ไว้แล้วที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานให้ได้ความเสียก่อนว่าจำเลยได้รับเงินค่าขายฝาก 30,000 บาท จากโจทก์หรือไม่แล้วพิพากษาใหม่
คดีในชั้นฎีกาเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ ศาลฎีกาให้คืนค่าขึ้นศาลที่ชำระเกินมาในชั้นฎีกาแก่โจทก์
คดีในชั้นฎีกาเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ ศาลฎีกาให้คืนค่าขึ้นศาลที่ชำระเกินมาในชั้นฎีกาแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 382/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายฝากไม่สมบูรณ์ ศาลพิจารณาคืนเงินในลักษณะลาภมิควรได้ หากจำเลยรับเงินจริง
สัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะเพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์ต้องคืนที่ดินให้จำเลย จำเลยก็ต้องคืนเงินให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 ในลักษณะลาภมิควรได้เพราะเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และทำให้โจทก์เสียเปรียบ ทั้งตามคำฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายถึงเรื่องลาภมิควรได้ไว้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานให้ได้ความเสียก่อนว่าจำเลยได้รับเงินค่าขายฝาก 30,000 บาท จากโจทก์หรือไม่แล้วพิพากษาใหม่ คดีในชั้นฎีกาเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ ศาลฎีกาให้คืนค่าขึ้นศาลที่ชำระเกินมาในชั้นฎีกาแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3474/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไถ่ถอนจำนอง: ศาลต้องสืบพยานเมื่อข้อเท็จจริงเรื่องหนี้จำนองยังไม่ยุติ การงดสืบพยานแล้วพิพากษาเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดิน จำเลยให้การว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่มีคำเสนอชำระหนี้จำนองแก่จำเลย เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา และตามเอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นหนังสือจำเลยที่ตอบโจทก์เรื่องการไถ่ถอนจำนองมีข้อความว่า จำเลยกำลังรอให้สำนักงานใหญ่สั่งการมา ถ้าได้รับการสั่งการให้รับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองได้ก็จะติดต่อกับโจทก์ทันที ดังนี้ ตามเอกสารท้ายฟ้องและคำให้การจำเลย แสดงว่าจำเลยยังถือว่าหนี้จำนองยังมีอยู่ จึงชอบที่โจทก์จำเลยจะต้องนำสืบในประเด็นข้อนี้ต่อไป เพราะข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นข้อนี้แล้วพิพากษาคดีไป ย่อมไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3474/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับไถ่ถอนจำนอง: การงดสืบพยานเมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโดยปรากฏหนังสือจำเลยถึงโจทก์ตามเอกสารท้ายฟ้องว่า จำเลยกำลังรอให้สำนักงานใหญ่สั่งการมา ถ้าได้รับการสั่งการให้รับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองได้ก็จะติดต่อกับโจทก์ทันทีจำเลยให้การว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่มีคำเสนอชำระหนี้จำนองแก่จำเลย เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาดังนี้ตามเอกสารท้ายฟ้องและคำให้การจำเลย แสดงว่าจำเลยยังถือว่าหนี้จำนองยังมีอยู่ มิได้ระงับไปดังที่โจทก์กล่าวอ้าง จึงชอบที่โจทก์จำเลยจะต้องนำสืบในประเด็นข้อนี้ต่อไป เพราะข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นข้อนี้แล้วพิพากษาคดีไป ย่อมไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3408/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาของจำเลย ศาลต้องดำเนินการตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หากไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาอาจถูกยก
การที่จำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ ทั้งที่จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา ให้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 ดังนั้นการที่ศาลมีคำสั่งให้นัดสืบพยานโจทก์และนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งต่อไป และมีคำพิพากษาคดีนี้มา จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณา และปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในเรื่องนี้ไว้ จำเลยก็มีสิทธิยกปัญหานี้ขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ได้