พบผลลัพธ์ทั้งหมด 161 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนซื้อขายช้างทำสัญญากู้เป็นหลักฐานคืนเงินและกำไร สัญญาไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยกู้เงินไปจากโจทก์โดยได้ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันซื้อช้างเพื่อขาย โดยทำสัญญากูกันไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการคืนหุ้นและกำไร ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องส่วนข้อที่ว่าช้างที่เข้าหุ้นส่วนกันซื้อมาถูกคนร้ายลักเอาไปจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยเพียงใดหรือไม่ เป็นกรณีที่จะต้องว่ากล่าวกันอีกเรื่องหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าหุ้นส่วนซื้อขายช้าง สัญญาการกู้เป็นหลักฐานการชำระหนี้หุ้นและกำไร ไม่ใช่การกู้ยืมเงิน
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยกู้เงินไปจากโจทก์โดยได้ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันซื้อช้างเพื่อขาย โดยทำสัญญากู้กันไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการคืนหุ้นและกำไร ศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง ส่วนข้อที่ว่าช้างที่เข้าหุ้นส่วนกันซื้อมาถูกคนร้ายลักเอาไปจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไรโจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยเพียงใดหรือไม่เป็นกรณีที่จะต้องว่ากล่าวกันอีกเรื่องหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้อง เพิ่มข้อเท็จจริงใหม่ และอายุความสัญญาจะซื้อจะขายที่มีข้อตกลงพิเศษ
เดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งแปลง และจำเลยได้รับเงินไปเรียบร้อยในวันทำสัญญา ครั้นเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเดิมโดยเพิ่มเติมข้อความว่า โดยจำเลยตกลงให้โจทก์นำเงินไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัท ย. ค้างชำระบริษัท ว. และโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่บริษัท ว. เรียบร้อยแล้ว จึงถือว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญา ข้อความที่โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมนี้เป็นแต่เพียงอธิบายข้อความที่กล่าวว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์แล้วในวันทำสัญญานั้น โจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาการที่โจทก์นำเงินไปชำระหนี้ซึ่งบริษัท ย. ของจำเลยติดค้างอยู่กับบริษัท ว. ของโจทก์เป็นการชำระราคาที่ดินที่จำเลยทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์นั่นเอง แม้จะเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริง เพิ่มขึ้นจากคำฟ้องเดิมและกล่าวพาดพิงไปถึงบริษัทของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากตัวจำเลยโจทก์มีสิทธิทำได้
โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระ ข้อที่ว่าบริษัทของจำเลยค้างชำระราคารถยนต์อยู่เท่าใด จึงเป็นรายละเอียดซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้อง
สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งกำหนดไว้ว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมภายใน 1 ปี เพียงแต่มีข้อตกลงกันเป็นพิเศษยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำที่ดินที่จะซื้อขายกันนี้ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกได้ โดยจะต้องนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่งเท่านั้น การมีข้อตกลงเป็นพิเศษเพียงเท่านี้หาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกลายเป็นสัญญาหุ้นส่วนไปไม่ และกฎหมายมิได้กำหนดอายุความสำหรับการเรียกร้องให้แบ่งเงินตามข้อตกลงดังกล่าว จึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระ ข้อที่ว่าบริษัทของจำเลยค้างชำระราคารถยนต์อยู่เท่าใด จึงเป็นรายละเอียดซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้อง
สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งกำหนดไว้ว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมภายใน 1 ปี เพียงแต่มีข้อตกลงกันเป็นพิเศษยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำที่ดินที่จะซื้อขายกันนี้ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกได้ โดยจะต้องนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่งเท่านั้น การมีข้อตกลงเป็นพิเศษเพียงเท่านี้หาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกลายเป็นสัญญาหุ้นส่วนไปไม่ และกฎหมายมิได้กำหนดอายุความสำหรับการเรียกร้องให้แบ่งเงินตามข้อตกลงดังกล่าว จึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องเพิ่มข้อเท็จจริงและการแบ่งเงินจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน: อายุความ 10 ปี
เดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งแปลง และจำเลยได้รับเงินไปเรียบร้อยในวันทำสัญญาครั้นเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเดิมโดยเพิ่มเติมข้อความว่า โดยจำเลยตกลงให้โจทก์นำเงินไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัท ย.ค้างชำระบริษัท ว..และโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่บริษัทว.เรียบร้อยแล้ว. จึงถือว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญา. ข้อความที่โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมนี้.เป็นแต่เพียงอธิบายข้อความที่กล่าวว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์แล้วในวันทำสัญญานั้นโจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาการที่โจทก์นำเงินไปชำระหนี้ซึ่งบริษัท ย.ของจำเลยติดค้างอยู่กับบริษัทว. ของโจทก์เป็นการชำระราคาที่ดินที่จำเลยทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์นั่นเอง แม้จะเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นจากคำฟ้องเดิมและกล่าวพาดพิงไปถึงบริษัทของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากตัวจำเลย โจทก์มีสิทธิทำได้
โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระข้อที่ว่าบริษัทของจำเลยค้างชำระราคารถยนต์อยู่เท่าใด จึงเป็นรายละเอียดซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้อง
สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งกำหนดไว้ว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมภายใน 1 ปี เพียงแต่มีข้อตกลงกันเป็นพิเศษยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำที่ดินที่จะซื้อขายกันนี้ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกได้โดยจะต้องนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่งเท่านั้นการมีข้อตกลงเป็นพิเศษเพียงเท่านี้หาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกลายเป็นสัญญาหุ้นส่วนไปไม่ และกฎหมายมิได้กำหนดอายุความสำหรับการเรียกร้องให้แบ่งเงินตามข้อตกลงดังกล่าวจึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระข้อที่ว่าบริษัทของจำเลยค้างชำระราคารถยนต์อยู่เท่าใด จึงเป็นรายละเอียดซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้อง
สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งกำหนดไว้ว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมภายใน 1 ปี เพียงแต่มีข้อตกลงกันเป็นพิเศษยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำที่ดินที่จะซื้อขายกันนี้ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกได้โดยจะต้องนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่งเท่านั้นการมีข้อตกลงเป็นพิเศษเพียงเท่านี้หาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกลายเป็นสัญญาหุ้นส่วนไปไม่ และกฎหมายมิได้กำหนดอายุความสำหรับการเรียกร้องให้แบ่งเงินตามข้อตกลงดังกล่าวจึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1165/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหาย vs. เบี้ยปรับ: เมื่อศาลชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวนแล้ว ไม่สามารถเรียกร้องเบี้ยปรับเพิ่มเติมได้
สัญญาร่วมทุนการปลูกอ้อยซึ่งโจทก์เป็นผู้ออกเงินทุนค่าใช้จ่ายในการปลูกอ้อย จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน และตกลงให้อ้อยที่ปลูกเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน 3 ปี แต่จำเลยยอมให้โจทก์เป็นผู้ตัดอ้อยขายโรงงานแต่ผู้เดียว เงินขายอ้อยหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการตัดอ้อยแล้ว ให้ใช้คืนทุนที่โจทก์ออกไปก่อนจนกว่าจะครบ ถ้ามีเงินเหลือจากนั้นจึงจะนำไปแบ่งกันระหว่างโจทก์และจำเลยคนละครึ่งนั้น ไม่ใช่สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน
เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายเต็มจำนวนที่โจทก์เสียหายแล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยเสียเบี้ยปรับให้โจทก์อีกไม่ได้ เพราะเป็นการเรียกร้องที่นอกเหนือไปจากความเสียหายที่โจทก์ได้รับ ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380
เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายเต็มจำนวนที่โจทก์เสียหายแล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยเสียเบี้ยปรับให้โจทก์อีกไม่ได้ เพราะเป็นการเรียกร้องที่นอกเหนือไปจากความเสียหายที่โจทก์ได้รับ ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2582/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนค้าที่ดินมีสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งผลกำไร แม้จะไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยตรง
โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน แต่มิได้จดทะเบียนสมรสและได้ร่วมกันทำการค้าที่ดิน ป.ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่จำเลยในระหว่างที่โจทก์จำเลยกำลังอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ดังนี้เมื่อ ป.ผิดสัญญาสิทธิเรียกร้องในการจะฟ้องบังคับให้ ป.โอนขายที่ดินดังกล่าว โจทก์จำเลยย่อมมีสิทธิร่วมกันในฐานะที่เข้าหุ้นกันทำการค้าที่ดิน
โจทก์มีส่วนได้เสียร่วมอยู่กับจำเลยในการค้าที่ดิน โจทก์จึงออกเงินค่าธรรมเนียมให้จำเลยฟ้องให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เพื่อแบ่งปันกันระหว่างโจทก์จำเลย ดังนี้เป็นการรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ซึ่งชอบที่จะทำได้ หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ได้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินที่จำเลยฟ้อง ป.ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะและคดีถึงที่สุดแล้ว หรือให้จำเลยจัดซื้อและขายที่ดินดังกล่าวแล้วหักค่าใช้จ่ายเอาผลกำไรแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ดังนี้มีความหมายเป็น 2 นัยคือ นัยแรกให้เอาผลประโยชน์จากการดำเนินคดีที่จำเลยฟ้อง ป.เกี่ยวกับการขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน นัยหลังมีความหมายว่าหากได้เงินประโยชน์สุทธิมาเท่าใด ก็ให้แบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าคดีที่จำเลยฟ้อง ป.นั้น จำเลยไม่ติดใจบังคับคดีจำเลยจึงไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับจำเลยไม่ได้ และจะให้โจทก์เข้าสวมสิทธิของจำเลยก็ไม่ได้ด้วยเป็นอันว่าจะบังคับให้ ป.ปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินไม่ได้ แต่ศาลก็ยังมีทางบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินตามคำขอของโจทก์นัยหลังได้
โจทก์มีส่วนได้เสียร่วมอยู่กับจำเลยในการค้าที่ดิน โจทก์จึงออกเงินค่าธรรมเนียมให้จำเลยฟ้องให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เพื่อแบ่งปันกันระหว่างโจทก์จำเลย ดังนี้เป็นการรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ซึ่งชอบที่จะทำได้ หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ได้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินที่จำเลยฟ้อง ป.ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะและคดีถึงที่สุดแล้ว หรือให้จำเลยจัดซื้อและขายที่ดินดังกล่าวแล้วหักค่าใช้จ่ายเอาผลกำไรแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ดังนี้มีความหมายเป็น 2 นัยคือ นัยแรกให้เอาผลประโยชน์จากการดำเนินคดีที่จำเลยฟ้อง ป.เกี่ยวกับการขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน นัยหลังมีความหมายว่าหากได้เงินประโยชน์สุทธิมาเท่าใด ก็ให้แบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าคดีที่จำเลยฟ้อง ป.นั้น จำเลยไม่ติดใจบังคับคดีจำเลยจึงไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับจำเลยไม่ได้ และจะให้โจทก์เข้าสวมสิทธิของจำเลยก็ไม่ได้ด้วยเป็นอันว่าจะบังคับให้ ป.ปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินไม่ได้ แต่ศาลก็ยังมีทางบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินตามคำขอของโจทก์นัยหลังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2582/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนค้าที่ดินมีสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งผลประโยชน์ แม้จะไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์
โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน แต่มิได้จดทะเบียนสมรสและได้ร่วมกันทำการค้าที่ดิน ป. ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่จำเลยในระหว่างที่โจทก์จำเลยกำลังอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ดังนี้ เมื่อ ป. ผิดสัญญา สิทธิเรียกร้องในการจะฟ้องบังคับให้ ป. โอนขายที่ดินดังกล่าว โจทก์จำเลยย่อมมีสิทธิร่วมกันในฐานะที่เข้าหุ้นกันทำการค้าที่ดิน
โจทก์มีส่วนได้เสียร่วมอยู่กับจำเลยในการค้าที่ดิน โจทก์จึงออกเงินค่าธรรมเนียมให้จำเลยฟ้องให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เพื่อแบ่งปันกันระหว่างโจทก์จำเลย ดังนี้เป็นการรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ซึ่งชอบที่จะทำได้ หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ได้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินที่จำเลยฟ้อง ป. ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะและคดีถึงที่สุดแล้ว หรือให้จำเลยจัดซื้อและขายที่ดินดังกล่าวแล้วหักค่าใช้จ่าย เอาผลกำไรแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ดังนี้ มีความหมายเป็น 2 นัยคือ นัยแรกให้เอาผลประโยชน์จากการดำเนินคดีที่จำเลยฟ้อง ป. เกี่ยวกับการขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน นัยหลังมีความหมายว่าหากได้เงินประโยชน์สุทธิมาเท่าใด ก็ให้แบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าคดีที่จำเลยฟ้อง ป. นั้น จำเลยไม่ติดใจบังคับคดีจำเลยจึงไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินศาลจะพิพากษาให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับจำเลยไม่ได้ และจะให้โจทก์เข้าสวมสิทธิของจำเลยก็ไม่ได้ด้วย เป็นอันว่าจะบังคับให้ ป. ปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินไม่ได้ แต่ศาลก็ยังมีทางบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินตามคำขอของโจทก์นัยหลังได้
โจทก์มีส่วนได้เสียร่วมอยู่กับจำเลยในการค้าที่ดิน โจทก์จึงออกเงินค่าธรรมเนียมให้จำเลยฟ้องให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เพื่อแบ่งปันกันระหว่างโจทก์จำเลย ดังนี้เป็นการรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ซึ่งชอบที่จะทำได้ หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ได้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินที่จำเลยฟ้อง ป. ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะและคดีถึงที่สุดแล้ว หรือให้จำเลยจัดซื้อและขายที่ดินดังกล่าวแล้วหักค่าใช้จ่าย เอาผลกำไรแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ดังนี้ มีความหมายเป็น 2 นัยคือ นัยแรกให้เอาผลประโยชน์จากการดำเนินคดีที่จำเลยฟ้อง ป. เกี่ยวกับการขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน นัยหลังมีความหมายว่าหากได้เงินประโยชน์สุทธิมาเท่าใด ก็ให้แบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าคดีที่จำเลยฟ้อง ป. นั้น จำเลยไม่ติดใจบังคับคดีจำเลยจึงไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินศาลจะพิพากษาให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับจำเลยไม่ได้ และจะให้โจทก์เข้าสวมสิทธิของจำเลยก็ไม่ได้ด้วย เป็นอันว่าจะบังคับให้ ป. ปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินไม่ได้ แต่ศาลก็ยังมีทางบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินตามคำขอของโจทก์นัยหลังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2570/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนแบ่งกำไร: สัญญาซื้อขายที่ดิน+หุ้นส่วน, การแบ่งกำไรตามสัดส่วนเงินลงทุน, ผู้ชำระบัญชีที่เป็นกลาง
โจทก์ฟ้องขอให้เลิกกิจการห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนโดยกล่าวไว้ในฟ้องว่า ในการเข้าหุ้นส่วนค้าที่ดินและตึกแถวกันนี้จำเลยตกลงแบ่งกำไรให้โจทก์ร้อยละ 60 จำเลยขายที่ดินและตึกแถวไปหลายห้องไม่แบ่งกำไรให้โจทก์ ขอให้พิพากษาเลิกกิจการห้างหุ้นส่วนและตั้ง ค. เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่หุ้นส่วน ศาลได้กำหนดประเด็นว่าโจทก์กับจำเลยเป็นหุ้นส่วนกันหรือไม่ ตกลงแบ่งผลกำไรกันเท่าใด โจทก์มีสิทธิบอกเลิกหุ้นส่วนกันหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์จำเลยประสงค์จะแบ่งปันกำไรกันอย่างไรจึงเป็นประเด็นวินิจฉัย ศาลพิพากษาให้แบ่งกำไรกันตามที่พิจารณาได้ความได้
ในชั้นแรก โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยมาดำเนินการตามโครงการของโจทก์นั้น โจทก์ต้องแบ่งกำไรสุทธิให้จำเลยร้อยละ 40 ครั้นเมื่อโจทก์ดำเนินการต่อไปไม่ได้ เพราะขาดทุนหมุนเวียน จนจำเลยต้องเข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วยสัญญาเข้าหุ้นส่วนระบุว่าการแบ่งผลประโยชน์ที่โจทก์จะได้รับให้เป็นไปตามแนวข้อตกลงของสัญญาซื้อที่ดิน "แนวข้อตกลง"จึงมีความหมายว่าจะต้องแบ่งกำไรสุทธิให้จำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินร้อยละ 40 อย่างเดิมเสียก่อน กำไรที่เหลืออีกร้อยละ 60 จึงแบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลยผู้เป็นหุ้นส่วนกันตามส่วนของเงินที่ลงหุ้น
โจทก์ขอให้ศาลตั้ง ค.เป็นผู้ชำระบัญชี ถึงแม้จำเลยจะมิได้คัดค้านเกี่ยวกับตัวผู้ชำระบัญชีไว้ แต่จำเลยได้ให้การปฏิเสธว่า โจทก์จำเลยมิได้เป็นหุ้นส่วนกัน เมื่อจำเลยปฏิเสธในเรื่องหุ้นส่วนเสียแล้ว ก็ไม่จำต้องกล่าวถึงตัวผู้ชำระบัญชี จะถือว่าจำเลยเห็นชอบให้ ค.เป็นผู้ชำระบัญชีหาได้ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นตั้ง ค.เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยก็ได้อุทธรณ์ฎีกาต่อมาคัดค้านว่าไม่ควรตั้ง ค. เป็นผู้ชำระบัญชี และเป็นทนายโจทก์มีส่วนได้เสียโดยตรงกับโจทก์และไม่มีความรู้ความสามารถในการชำระบัญชี ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้และเห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยไม่อาจร่วมกันตั้งผู้ชำระบัญชีได้ ศาลฎีกาจึงตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ชำระบัญชีต่อไป การชำระบัญชีจะได้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยไม่ติดขัด
ในชั้นแรก โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยมาดำเนินการตามโครงการของโจทก์นั้น โจทก์ต้องแบ่งกำไรสุทธิให้จำเลยร้อยละ 40 ครั้นเมื่อโจทก์ดำเนินการต่อไปไม่ได้ เพราะขาดทุนหมุนเวียน จนจำเลยต้องเข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วยสัญญาเข้าหุ้นส่วนระบุว่าการแบ่งผลประโยชน์ที่โจทก์จะได้รับให้เป็นไปตามแนวข้อตกลงของสัญญาซื้อที่ดิน "แนวข้อตกลง"จึงมีความหมายว่าจะต้องแบ่งกำไรสุทธิให้จำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินร้อยละ 40 อย่างเดิมเสียก่อน กำไรที่เหลืออีกร้อยละ 60 จึงแบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลยผู้เป็นหุ้นส่วนกันตามส่วนของเงินที่ลงหุ้น
โจทก์ขอให้ศาลตั้ง ค.เป็นผู้ชำระบัญชี ถึงแม้จำเลยจะมิได้คัดค้านเกี่ยวกับตัวผู้ชำระบัญชีไว้ แต่จำเลยได้ให้การปฏิเสธว่า โจทก์จำเลยมิได้เป็นหุ้นส่วนกัน เมื่อจำเลยปฏิเสธในเรื่องหุ้นส่วนเสียแล้ว ก็ไม่จำต้องกล่าวถึงตัวผู้ชำระบัญชี จะถือว่าจำเลยเห็นชอบให้ ค.เป็นผู้ชำระบัญชีหาได้ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นตั้ง ค.เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยก็ได้อุทธรณ์ฎีกาต่อมาคัดค้านว่าไม่ควรตั้ง ค. เป็นผู้ชำระบัญชี และเป็นทนายโจทก์มีส่วนได้เสียโดยตรงกับโจทก์และไม่มีความรู้ความสามารถในการชำระบัญชี ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้และเห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยไม่อาจร่วมกันตั้งผู้ชำระบัญชีได้ ศาลฎีกาจึงตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ชำระบัญชีต่อไป การชำระบัญชีจะได้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยไม่ติดขัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินเมื่ออยู่กินฉันสามีภรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และทรัพย์สินนั้นไม่ได้มาจากการทำกินร่วมกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภริยากับ ท. แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์มีสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำติดตัวมาแต่ได้ขายเป็นทุนทำกินร่วมกับ พ. ทั้งหมด ส่วน พ. มีที่นา 1 แปลง โจทก์ได้ทำกินร่วมกับ พ. โจทก์กับ พ. จึงเป็นหุ้นส่วนกัน ต่อมา พ. ตาย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินกึ่งหนึ่ง ดังนี้ แม้โจทก์จะมีทรัพย์ติดตัวมาด้วยเมื่อมาอยู่กับ พ. ก็ตาม แต่เมื่อนาพิพาทมิใช่ทรัพย์ที่ได้มาระหว่างอยู่กินกับ พ. ที่พิพาทจึงมิใช่ผลประโยชน์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างโจทก์กับ พ. อันจะถือได้ว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน และการอยู่กินกันฉันสามีภรรยาระหว่างโจทก์กับ พ. ตามที่บรรยายมาในฟ้องก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทรายนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินกรณีอยู่กินฉันสามีภรรยา - ไม่มีสิทธิร่วมหากที่ดินมีก่อนอยู่กิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภริยากับพ. แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์มีสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำติดตัวมาแต่ได้ขายเป็นทุนทำกินร่วมกับ พ. ทั้งหมดส่วน พ.มีที่นา 1 แปลง โจทก์ได้ทำกินร่วมกับ พ. โจทก์กับ พ. จึงเป็นหุ้นส่วนกัน ต่อมา พ. ตาย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินกึ่งหนึ่งดังนี้ แม้โจทก์จะมีทรัพย์ติดตัวมาด้วยเมื่อมาอยู่กับ พ. ก็ตามแต่เมื่อนาพิพาทมิใช่ทรัพย์ที่ได้มาระหว่างอยู่กินกับ พ. ที่พิพาทจึงมิใช่ผลประโยชน์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างโจทก์กับ พ. อันจะถือได้ว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน และการอยู่กินกันฉันสามีภรรยาระหว่างโจทก์กับ พ.ตามที่บรรยายมาในฟ้องก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทรายนี้