พบผลลัพธ์ทั้งหมด 173 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องบังคับจำนอง ไม่ใช่ฟ้องชำระหนี้กู้ ไม่ต้องมีสัญญากู้ปิดอากรแสตมป์
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้จำนอง ถ้าไม่ชำระก็ขอบังคับจำนอง มิใช่ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ จึงไม่ต้องมีสัญญากู้ที่ต้องปิดอากรแสตมป์มาแสดง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้, เบี้ยปรับ, การแปลงหนี้, การบังคับจำนอง, และความรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการ
ธนาคารให้กู้เงินคิดดอกเบี้ยร้อยละ 9 ต่อปี มีข้อสัญญาว่าถ้าผิดนัดให้เรียกเบี้ยปรับร้อยละ 6 ต่อปี ดังนี้ ไม่ขัดต่อประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยฯไม่เป็นโมฆะ ศาลลดลงเป็นให้ชำระร้อยละ 3 ได้
หนังสือรับสภาพหนี้ขอผ่อนชำระ และเจ้าหนี้อนุมัติ ไม่มีการเปลี่ยนสารสำคัญแห่งหนี้ไม่เป็นการแปลงหนี้ จำนองไม่ระงับ
หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องรับผิดร่วมกันในหนี้ที่ห้างกู้เงินผู้จำนองประกันหนี้ของห้างไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างต้องบังคับชำระหนี้เงินกู้ก่อน จึงจะบังคับหนี้จำนองอันเป็นอุปกรณ์
บรรยายฟ้องเรียกให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ ตอนท้ายอ้างบันทึกรับสภาพหนี้ เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงให้ชัดขึ้นไม่ขัดแย้งไม่เคลือบคลุม
หนังสือรับสภาพหนี้ขอผ่อนชำระ และเจ้าหนี้อนุมัติ ไม่มีการเปลี่ยนสารสำคัญแห่งหนี้ไม่เป็นการแปลงหนี้ จำนองไม่ระงับ
หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องรับผิดร่วมกันในหนี้ที่ห้างกู้เงินผู้จำนองประกันหนี้ของห้างไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างต้องบังคับชำระหนี้เงินกู้ก่อน จึงจะบังคับหนี้จำนองอันเป็นอุปกรณ์
บรรยายฟ้องเรียกให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ ตอนท้ายอ้างบันทึกรับสภาพหนี้ เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงให้ชัดขึ้นไม่ขัดแย้งไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บังคับจำนอง: หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบเพิ่มเติม
คำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนอง ถ้าไม่ไถ่ถอนให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด มิได้ขอด้วยว่าเมื่อบังคับจำนองเอาทรัพย์ซึ่งจำนองขายทอดตลาดได้ เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระ ให้จำเลยรับผิดชอบใช้เงินที่ขาดอยู่จนครบและตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็มิได้พิพากษาให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยอีก ถือว่าเป็นการฟ้องบังคับจำนอง เมื่อขายทอดตลาดทรัยพ์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับคดีตามคำพิพากษา: การฟ้องบังคับจำนองและการจำกัดความรับผิดของจำเลยเมื่อขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้
คำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนอง ถ้าไม่ไถ่ถอนให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด มิได้ขอด้วยว่าเมื่อบังคับจำนองเอาทรัพย์ซึ่งจำนองขายทอดตลาดได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระให้จำเลยรับผิดชอบใช้เงินที่ขาดอยู่จนครบและตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็มิได้พิพากษาให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยอีก ถือว่าเป็นการฟ้องบังคับจำนอง เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่โจทก์กำหนด และการบังคับจำนอง
เมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ จำเลยก็พูดกับผู้ส่งหนังสือว่า ไม่มีเงิน ถ้าอยากได้เร็ว ๆ ให้ฟ้องเอา เห็นได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยเวลาที่โจทก์กำหนดให้ เมื่อโจทก์ได้ให้เวลาแก่จำเลยหลังทราบคำบอกกล่าวแล้วถึง 13 วัน อันเป็นระยะเวลาพอสมควรโจทก์มีอำนาจฟ้องได้โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบอกกล่าว
จำเลยฎีกา สมควรอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมคำร้องของจำเลย เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามที่ระบุไว้นั้น ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานเช่นนั้น ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยนั้นหรือไม่
จำเลยฎีกา สมควรอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมคำร้องของจำเลย เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามที่ระบุไว้นั้น ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานเช่นนั้น ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยนั้นหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกกล่าวหนี้จำนองและเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่โจทก์กำหนด ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องก่อนครบกำหนด
เมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือจำเลยก็พูดกับผู้ส่งหนังสือว่า ไม่มีเงิน ถ้าอยากได้เร็ว ๆ ให้ฟ้องเอา เห็นได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่โจทก์กำหนดให้ เมื่อโจทก์ได้ให้เวลาแก่จำเลยหลังทราบคำบอกกล่าวแล้วถึง 13 วัน อันเป็นระยะเวลาพอสมควรโจทก์มีอำนาจฟ้องได้โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบอกกล่าว
จำเลยฎีกาว่า สมควรอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมตามคำร้องของจำเลย เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามที่ระบุไว้นั้น ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานเช่นนั้น ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยนั้นหรือไม่
จำเลยฎีกาว่า สมควรอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมตามคำร้องของจำเลย เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามที่ระบุไว้นั้น ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานเช่นนั้น ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยนั้นหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองแยกจากหนี้ได้ เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับชำระหนี้ได้ทั้งจากทรัพย์สินทั่วไปและทรัพย์สินที่จำนอง
การจำนองเป็นสัญญาเอาทรัพย์สินตราไว้เป็นการประกันหนี้ โดยมีหนี้ที่จะพึงต้องชำระแก่กันอันเป็นหนี้ประธาน และจำนองอันเป็นอุปกรณ์ของหนี้นั้น ซึ่งอาจแยกหนี้ที่จะต้องชำระแก่กัน และการจำนองออกเป็นคนละส่วนต่างหากจากกันได้ เจ้าหนี้จึงชอบที่จะใช้สิทธิ์เรียกร้องอย่างหนี้สามัญ หรือจะบังคับจำนองอย่างใดอย่างหนึ่งก็ย่อมทำได้ ไม่เป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายเรื่องจำนองหรือเป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนองแยกจากหนี้ได้ เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องได้ทั้งทางหนี้สามัญและบังคับจำนอง ไม่ถือเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย
การจำนองเป็นสัญญาเอาทรัพย์สินตราไว้เป็นการประกันหนี้ โดยหนี้ที่จะพึงต้องชำระแก่กันอันเป็นหนี้ประธาน และจำนองอันเป็นหนี้อุปกรณ์ของหนี้นั้น ซึ่งอาจแยกหนี้ที่จะต้องชำระแก่กัน และการจำนองออกเป็นคนละส่วนต่างหากจากกันได้ เจ้าหนี้จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญ หรือจะบังคับจำนองอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนย่อมทำได้ ไม่เป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายเรื่องจำนองหรือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1829/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องจากการซื้อขายที่ดินที่มีภาระจำนอง: สัญญาประนีประนอมยอมความขัดแย้งกับสิทธิการไถ่ถอน
จำเลยที่ 1 จำนองที่พิพาทต่อจำเลยที่ 2 ภายในวงเงิน 400,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ แล้วคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้หนึ่งล้านบาทเศษ และต้องเอาที่พิพาทขายทอดตลาด ชำระหนี้ด้วย หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จำเลยที่ 1 ไปไถ่ถอนจำนองที่พิพาทแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 รับไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 400,000 บาท ตามสัญญาจำนอง ดังนี้ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 รับไถ่ถอนการจำนองก็โดยโจทก์ใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้แต่ปรากฏว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จำเลยที่ 1 เองก็ไม่มีสิทธิจะไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 2 ในวงเงิน 400,000 บาทแล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะต้องฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับไถ่ถอนจำนองที่พิพาทในวงเงิน 400,000 บาทได้
ศาลมีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ได้เองโดยไม่จำเป็นต้องให้คู่ความร้องขอ
ศาลมีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ได้เองโดยไม่จำเป็นต้องให้คู่ความร้องขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1829/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินภายหลังสัญญาประนีประนอมฯ สิทธิเรียกร้องจำกัดเฉพาะคู่สัญญา
จำเลยที่ 1 จำนองที่พิพาทต่อจำเลยที่ 2 ภายในวงเงิน 400,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ แล้วคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้หนึ่งล้านบาทเศษ และต้องเอาที่พิพาทขายทอดตลาดชำระหนี้ด้วย หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จำเลยที่ 1 ไปไถ่ถอนการจำนองที่พิพาทแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 รับไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 400,000 บาท ตามสัญญาจำนอง ดังนี้ การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับไถ่ถอนการจำนองก็โดยโจทก์ใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ แต่ปรากฏว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จำเลยที่ 1 เองก็ไม่มีสิทธิจะไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 2 ในวงเงิน 400,000 บาทแล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับไถ่ถอนจำนองที่พิพาทในวงเงิน 400,000 บาทได้
ศาลมีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ได้เองโดยไม่จำเป็นต้องให้คู่ความร้องขอ
ศาลมีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ได้เองโดยไม่จำเป็นต้องให้คู่ความร้องขอ