พบผลลัพธ์ทั้งหมด 531 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 152/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แก้ไขจำนวนค่าเสียหายและดอกเบี้ยในคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 143 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น แม้โจทก์ฎีกาขึ้นมาฝ่ายเดียวและศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่ปรากฏแก่ศาลฎีกาว่า ศาลชั้นต้นได้รวมจำนวนค่าเสียหายตามรายการที่กำหนดให้แก่โจทก์ผิดพลาดเกินจำนวนอันแท้จริงไป 1,000 บาท ศาลฎีกาอาศัยอำนาจตามมาตรา143แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พิพากษาแก้จำนวนค่าเสียหายให้ถูกต้องได้ และที่ศาลชั้นต้นมิได้กล่าวในคำพิพากษาให้ชัดแจ้งว่าดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าเสียหายที่ให้โจทก์ได้รับด้วยนั้น ให้คิดในอัตราเท่าใดและเริ่มแต่เมื่อใด ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้ชัดแจ้งได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 814/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาขัดต่อผลคำพิพากษาถึงที่สุด สัญญาประนีประนอม
ทำสัญญาประนีประนอมกัน แบ่งที่ดินเป็น 4 ส่วน โดยถือตามหลักที่แบ่งไว้ต่อมาจำเลยไม่ยอมตามที่ตกลง โจทก์จึงฟ้องขอให้แบ่งตามสัญญา ศาลพิพากษาให้แบ่งเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กันคดีถึงที่สุด ดังนี้ ต่อมาศาลจะสั่งเปลี่ยนแก้ให้แบ่งตามที่ตกลงปักหลักกันตามสัญญา ไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรค 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขวันต้องขังในหมายจำคุกที่ไม่กระทบคำพิพากษา: เป็นเรื่องการบังคับตามคำพิพากษา ไม่ใช่การแก้ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวันถูกควบคุมตัวของจำเลยมาไม่ตรงกับความเป็นจริง จนกระทั่งศาลออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด โดยนับวันต้องขังตามวันที่โจทก์บรรยายในฟ้อง ดังนี้ โจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องขอแก้วันต้องขังของจำเลยให้ตรงกับความเป็นจริงได้ เพราะไม่ใช่เป็นการขอแก้ฟ้อง และไม่ทำให้ศาลต้องแก้ไขคำพิพากษาแต่อย่างใด เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับตามคำพิพากษาเท่านั้น (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขวันต้องขังตามหมายจำคุก: ไม่ใช่การแก้ฟ้อง แต่เป็นการบังคับตามคำพิพากษา
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวันถูกควบคุมตัวของจำเลยมาไม่ตรงกับความเป็นจริง จนกระทั่งศาลออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด โดยนับวันต้องขังตามวันที่โจทก์บรรยายในฟ้อง ดังนี้ โจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องขอแก้วันต้องขังของจำเลยให้ตรงกับความเป็นจริงได้ เพราะไม่ใช่เป็นการขอแก้ฟ้อง และไม่ทำให้ศาลต้องแก้ไขคำพิพากษาแต่อย่างใดเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับตามคำพิพากษาเท่านั้น(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 907/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาตามยอม และข้อจำกัดในการโต้แย้งภายหลัง
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้โดยไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และศาลได้พิพากษาไปตามนั้นแล้ว เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่าสัญญายอมเกิดจากโจทก์ใช้กลฉ้อฉลหรืออ้างว่าสัญญายอมขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 จำเลยจะมาร้องขอให้งดการบังคับคดีโดยอ้างเหตุดังกล่าว และขอให้ศาลไต่สวนหาความจริงตามคำร้องของจำเลยนั้น หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 907/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันของสัญญาประนีประนอมตามยอม และข้อจำกัดในการโต้แย้งภายหลัง
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความรับไว้โดยไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และศาลได้พิพากษาไปตามนั้นแล้ว เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่าสัญญายอมขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ต้อง อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่า นี้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 จำเลยจะมาร้องขอให้งดการบังคับคดี โดยอ้างเหตุดังกล่าว และขอให้ศาลไต่สวนหาความจริงตามคำร้องของจำเลยนั้น หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่มิได้ปิดอากรแสตมป์, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, และขอบเขตการบังคับคดีตามคำพิพากษา
โจทก์อ้างสัญญาเช่าที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา118 ว่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานมิได้นั้นหากยังมีเอกสารที่ไม่ต้องด้วยข้อห้ามอื่นๆ อีกพอที่จะรับฟังเป็นหลักฐานได้ว่าได้มีสัญญาเช่ากันแล้วเอกสารที่ไม่ใช่สัญญาเช่านั้นถือว่าเป็นหลักฐานพอที่จะบังคับผู้เช่าได้แล้ว
กฎหมาย ในเรื่องค้ำประกันไม่ได้บังคับว่าต้องบรรยายความรับผิดของผู้ค้ำประกันไว้ แม้ปรากฏว่าเอกสารที่โจทก์ยังมิได้แสดงถึงข้อผูกพันระหว่างผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้ก็ตามแต่เมื่อมีหนังสือให้ปรากฏว่าเป็นการค้ำประกันก็เป็นหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกันแล้ว
ผู้ค้ำประกันจึงไม่พ้นจากความรับผิดฐานเป็นผู้ค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นถือเอามติคณะเทศมนตรีลดค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระโจทก์ลง 1 ใน 4 คงให้จำเลยทั้งสองชำระเพียง 3 ใน 4 โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเต็มตามสัญญาแต่ก่อนศาลอุทธรณ์พิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่สามารถส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ได้โจทก์ไม่ติดใจที่จะอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1 แต่ขณะนั้นศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมกันใช้ค่าเช่าเต็มตามสัญญาจึงถือว่าเป็นการไม่ชอบเพราะถ้าโจทก์ประสงค์จะว่ากล่าวกับจำเลยที่ 1 ในปัญหาว่าควรลดค่าเช่าหรือไม่แล้วพิธีการตามกฎหมาย ก็มีอยู่ให้ทำได้แต่โจทก์ไม่ขอให้ทำฉะนั้นย่อมถือว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ยุติเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้และโดยข้อกฎหมาย ที่ว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เกินกว่าความรับผิดของลูกหนี้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงร่วมรับผิดเพียงเท่าที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระเท่านั้น
กฎหมาย ในเรื่องค้ำประกันไม่ได้บังคับว่าต้องบรรยายความรับผิดของผู้ค้ำประกันไว้ แม้ปรากฏว่าเอกสารที่โจทก์ยังมิได้แสดงถึงข้อผูกพันระหว่างผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้ก็ตามแต่เมื่อมีหนังสือให้ปรากฏว่าเป็นการค้ำประกันก็เป็นหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกันแล้ว
ผู้ค้ำประกันจึงไม่พ้นจากความรับผิดฐานเป็นผู้ค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นถือเอามติคณะเทศมนตรีลดค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระโจทก์ลง 1 ใน 4 คงให้จำเลยทั้งสองชำระเพียง 3 ใน 4 โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเต็มตามสัญญาแต่ก่อนศาลอุทธรณ์พิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่สามารถส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ได้โจทก์ไม่ติดใจที่จะอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1 แต่ขณะนั้นศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมกันใช้ค่าเช่าเต็มตามสัญญาจึงถือว่าเป็นการไม่ชอบเพราะถ้าโจทก์ประสงค์จะว่ากล่าวกับจำเลยที่ 1 ในปัญหาว่าควรลดค่าเช่าหรือไม่แล้วพิธีการตามกฎหมาย ก็มีอยู่ให้ทำได้แต่โจทก์ไม่ขอให้ทำฉะนั้นย่อมถือว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ยุติเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้และโดยข้อกฎหมาย ที่ว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เกินกว่าความรับผิดของลูกหนี้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงร่วมรับผิดเพียงเท่าที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าค้างชำระ, การค้ำประกัน, ลดค่าเช่า: ศาลพิจารณาความรับผิดของผู้เช่าและผู้ค้ำประกันตามสัญญาและมติคณะเทศมนตรี
โจทก์อ้างว่าสัญญาเช่าที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนซึ่งตามประมวลรัษฎากร ม.118 ว่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานมิได้นั้น หากยังมีเอกสรที่ไม่ต้องด้วยข้อห้ามอื่น ๆ อีกพอที่จะรับฟังเป็นหลักฐานได้ว่ามีสัญญาเช่ากันแล้ว เอกสารที่ไม่ต้องด้วยข้อห้ามอื่น ๆ อีกพอที่จะรับฟังเป็นหลักฐานได้ว่าได้มีสัญญาเช่ากันแล้ว เอกสารที่ไม่ใช่สัญญาเช่านั้นถือว่าเป็นหลักฐานพอที่จะบังคับผู้เช่าได้แล้ว
ก.ม.ในเรื่องค้ำประกันไม่ได้บังคับว่าต้องบรรยายควมผิดของผู้ค้ำประกันไว้ แม้ปรากฏว่าเอกสารที่โจทก์ยังมิได้แสดงถึงข้อผูกพันระหว่างผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้ก็ตามแต่เมื่อมีหนังสือให้ปรากฏว่าเป็นการค้ำประกันก็เป็นหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกันแล้ว ผู้ค้ำประกันจึงไม่พ้นจากความผิดฐานเป็นผู้ค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นถือเอามติคณะเทศมนตรีลดค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระโจทก์ลง 1 ใน 4 คงให้จำเลยทั้งสองชำระเพียง 3 ใน 4 โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเต็มตามสัญญาแต่ก่อนศาลอุทธรณ์พิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่สามารถส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1ได้ โจทก์ไม่ติดใจที่จะอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1 แต่กระนั้นศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมกันใช้ค่าเช่าเต็มตามสัญญาจึงถือว่าเป็นการไม่ชอบเพราะถ้าโจทก์ประสงค์จะว่ากล่าวกับจำเลยที่ 1 ในปัญหาว่าควรลดค่าเช่าหรือไม่แล้วนั้น พิธีการตาม ก.ม.ก็มีอยู่ให้ทำได้แต่โจทก์ไม่ขอให้ทำฉนั้นย่อมถือว่าความผิดของจำเลยที่ 1 ยุติเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้และโดยข้อ ก.ม.ที่ว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เกินกว่าความรับผิดของลูกหนี้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงร่วมรับผิดเพียงเท่าที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระเท่านั้น.
ก.ม.ในเรื่องค้ำประกันไม่ได้บังคับว่าต้องบรรยายควมผิดของผู้ค้ำประกันไว้ แม้ปรากฏว่าเอกสารที่โจทก์ยังมิได้แสดงถึงข้อผูกพันระหว่างผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้ก็ตามแต่เมื่อมีหนังสือให้ปรากฏว่าเป็นการค้ำประกันก็เป็นหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกันแล้ว ผู้ค้ำประกันจึงไม่พ้นจากความผิดฐานเป็นผู้ค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นถือเอามติคณะเทศมนตรีลดค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระโจทก์ลง 1 ใน 4 คงให้จำเลยทั้งสองชำระเพียง 3 ใน 4 โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเต็มตามสัญญาแต่ก่อนศาลอุทธรณ์พิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่สามารถส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1ได้ โจทก์ไม่ติดใจที่จะอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1 แต่กระนั้นศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมกันใช้ค่าเช่าเต็มตามสัญญาจึงถือว่าเป็นการไม่ชอบเพราะถ้าโจทก์ประสงค์จะว่ากล่าวกับจำเลยที่ 1 ในปัญหาว่าควรลดค่าเช่าหรือไม่แล้วนั้น พิธีการตาม ก.ม.ก็มีอยู่ให้ทำได้แต่โจทก์ไม่ขอให้ทำฉนั้นย่อมถือว่าความผิดของจำเลยที่ 1 ยุติเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้และโดยข้อ ก.ม.ที่ว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เกินกว่าความรับผิดของลูกหนี้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงร่วมรับผิดเพียงเท่าที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1660/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามคำพิพากษาตามยอมย่อมมีผลเหนือกว่าสิทธิเจ้าหนี้ แม้มีการยึดทรัพย์ก่อน
ตราบใดยังไม่มีคำพิพากษาแสดงว่าการยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมนั้นไม่ถูกต้อง สิทธิตามคำพิพากษานั้นก็ยังคงอยู่
เดิมผู้ร้องพิพาทกับจำเลย ที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องยอมชำระเงินแก่จำเลย 6,000 บาท จำเลยยอมให้โอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดรายพิพาทและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนี้แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไว้ และแม้ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์แล้วก็ตามโจทก์หามีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าผู้ร้องอย่างไรไม่เพราะสิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิที่รายพิพาทตามคำพิพากษาตามยอมยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่
เดิมผู้ร้องพิพาทกับจำเลย ที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องยอมชำระเงินแก่จำเลย 6,000 บาท จำเลยยอมให้โอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดรายพิพาทและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนี้แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไว้ และแม้ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์แล้วก็ตามโจทก์หามีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าผู้ร้องอย่างไรไม่เพราะสิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิที่รายพิพาทตามคำพิพากษาตามยอมยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1660/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ตามคำพิพากษาตามยอม ย่อมมีอำนาจก่อนเจ้าหนี้ แม้มีการยึดทรัพย์
ตราบใดยังไม่มีคำพิพากษาแสดงว่าการยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมนั้นไม่ถูกต้อง สิทธิตามคำพิพากษานั้นก็ยังคงอยู่
เดิมผู้ร้องพิพาทกับจำเลย ที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องยอมชำระเงินแก่จำเลย 6,000 บาท จำเลยยอมให้โอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดรายพิพาทและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนี้แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไว้ และแม้ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์แล้วก็ตามโจทก์หามีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าผู้ร้องอย่างไรไม่เพราะสิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิที่รายพิพาทตามคำพิพากษาตามยอมยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่
เดิมผู้ร้องพิพาทกับจำเลย ที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกันโดยผู้ร้องยอมชำระเงินแก่จำเลย 6,000 บาท จำเลยยอมให้โอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดรายพิพาทและศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว ดังนี้แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไว้ และแม้ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์แล้วก็ตามโจทก์หามีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าผู้ร้องอย่างไรไม่เพราะสิทธิในการจดทะเบียนกรรมสิทธิที่รายพิพาทตามคำพิพากษาตามยอมยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่