พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,606 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1027/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิโดยการครอบครองปรปักษ์ และสิทธิของผู้เช่าในตลาดทำเลการค้า
การที่จำเลยยกห้องแถวให้แก่โจกท์ ถึงจะมิได้ทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ก.ม.ก็ดี แต่โจทก์ได้ถือสิทธิเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปี แม้จำเลยครอบครองอยู่ก็โดยอาศัยอำนาจของโจทก์ดังนี้ ห้องแถวนั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ ตาม ม.1368,1382
เช่าห้องพิพากททำการค้าอยู่ ในตลาดในทำเลการค้า การเช่าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและผู้ให้เช่าได้บอกกล่าวให้ผู้เช่าออกแล้วดังนี้ผู้เช่าหาได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า ฯ ไม่
การที่ศาลกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 20 บ.ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากห้องเช่าให้โจทก์นั้นก็เป็นจำนวนเท่ากับอัตราค่าเช่านั่นเอง เมื่อจำเลยวางศาลไว้แล้วเท่าใดแล้วก็ไม่ต้องใช้อีกเท่านั้น
เช่าห้องพิพากททำการค้าอยู่ ในตลาดในทำเลการค้า การเช่าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและผู้ให้เช่าได้บอกกล่าวให้ผู้เช่าออกแล้วดังนี้ผู้เช่าหาได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า ฯ ไม่
การที่ศาลกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 20 บ.ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากห้องเช่าให้โจทก์นั้นก็เป็นจำนวนเท่ากับอัตราค่าเช่านั่นเอง เมื่อจำเลยวางศาลไว้แล้วเท่าใดแล้วก็ไม่ต้องใช้อีกเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1027/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์และการเช่าที่ไม่มีหนังสือ
การที่จำเลยยกห้องแถวให้แก่โจทก์ ถึงจะมิได้ทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม กฎหมาย ก็ดี แต่โจทก์ได้ถือสิทธิเป็นเจ้าของมากว่า 10ปี แม้จำเลยครอบครองอยู่ก็โดยอาศัยอำนาจของโจทก์ดังนี้ ห้องแถวนั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามมาตรา 1368,1382
เช่าห้องพิพาททำการค้าอยู่ในตลาดในทำเลการค้า การเช่าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและผู้ให้เช่าได้บอกกล่าวให้ผู้เช่าออกแล้ว ดังนี้ผู้เช่าหาได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯไม่
การที่ศาลกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 20 บ.ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากห้องเช่าให้โจทก์นั้น ก็เป็นจำนวนเท่ากับอัตราค่าเช่านั่นเอง เมื่อจำเลยวางศาลไว้แล้วเท่าใดแล้วก็ไม่ต้องใช้อีกเท่านั้น
เช่าห้องพิพาททำการค้าอยู่ในตลาดในทำเลการค้า การเช่าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและผู้ให้เช่าได้บอกกล่าวให้ผู้เช่าออกแล้ว ดังนี้ผู้เช่าหาได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯไม่
การที่ศาลกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 20 บ.ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากห้องเช่าให้โจทก์นั้น ก็เป็นจำนวนเท่ากับอัตราค่าเช่านั่นเอง เมื่อจำเลยวางศาลไว้แล้วเท่าใดแล้วก็ไม่ต้องใช้อีกเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 994/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกทรัพย์: จำเลยปฏิเสธการรับฝาก ไม่ถือเป็นเจตนายักยอก หากไม่มีหลักฐานแสดงเจตนาทุจริต
เมื่อคดีได้ความแต่เพียงว่าจำเลยรับฝากโคไว้แล้วบุตรจำเลยมาเอาไปเสีย โดยโจทก์ไม่มีพยานแสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้เห็นเป็นใจให้บุตรจำเลยเอาโคไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเช่นนี้คดีโจทก์ก็ยังชี้ไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอก ฉนั้นแม้คดีจะได้ความว่าจำเลยรับฝากโคไว้แล้วกับปฏิเสธว่าไม่ได้รับฝากก็ดีหรือการที่จำเลยบอกผู้เสียหายว่าบุตรจำเลยเอาไปจากจำเลย ๆ ก็รับจะใช้ให้ก็ดี เมื่อไปพูด "ถ้ามึงพูดดีก็ให้ พูดไม่ดีก็ไม่ให้" เพีบงเท่านี้ยังลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 994/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกทรัพย์: เจตนาทุจริตต้องพิสูจน์ได้ การปฏิเสธหรือการเสนอใช้เงินคืนไม่ถือเป็นเจตนายักยอก
เมื่อคดีได้ความแต่เพียงว่าจำเลยรับฝากโคไว้แล้วบุตรจำเลยมาเอาไปเสีย โดยโจทก์ไม่มีพยานแสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้เห็นเป็นใจให้บุตรจำเลยเอาโคไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเช่นนี้คดีโจทก์ก็ยังชี้ไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอก ฉะนั้นแม้คดีจะได้ความว่าจำเลยรับฝากโคไว้แล้วกลับปฏิเสธว่าไม่ได้รับฝากก็ดี หรือการที่จำเลยบอกผู้เสียหายว่าบุตรจำเลยเอาไปจากจำเลย จำเลยก็รับจะใช้ให้ก็ดี เมื่อไปพูดกันที่บ้านกำนัน จำเลยยังพูดว่า"ถ้ามึงพูดดีก็ให้ พูดไม่ดีก็ไม่ให้" เพียงเท่านี้ยังลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมเนื่องจากจำเลยสมคบกันหลอกลวงเจ้าหนี้เพื่อให้เสียเปรียบ
โจทก์กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ผู้เงินโจทก์ที่ 1 ไปโดยให้โจทก์ที่ 2 ค้ำประกันและจำเลยที่ 1 ได้นำทะเบียนรถยนต์มีชื่อจำเลยที่ 1 มาหลอกโจทก์ทั้ง2 ว่าเป็นของจำเลยที่ 1 แท้จริงรถคันนั้นจำเลยที่ 1 ซื้อผ่อนส่งจากบริษัท+ ยังผ่อนไม่หมดรถยังเป็นของบริษัท จำเลยที่ 2 ก็ทราบความดังนี้ดี แล้วจำเลยที่ 1 พาจำเลยที่ 2 ไปชำระเงินค้างผ่อนส่งแล้วให้บริษัทโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของ นอกจากรถคันนี้แล้วจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอย่างใดอีก
ตามฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนี้แสดงว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 2 เป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบตรงตามความในป.พ.พ.ม.237 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เลิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้
ตามฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนี้แสดงว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 2 เป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบตรงตามความในป.พ.พ.ม.237 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เลิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมเนื่องจากจำเลยสมคบกันเอาทรัพย์สินไปจากเจ้าหนี้ ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
โจทก์กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ที่ 1 ไปโดยให้โจทก์ที่ 2 ค้ำประกัน และจำเลยที่ 1 ได้นำทะเบียนรถยนต์มีชื่อจำเลยที่ 1 มาหลอกโจทก์ทั้ง 2 ว่าเป็นของจำเลยที่ 1 แท้จริงรถคันนั้นจำเลยที่1 ซื้อผ่อนส่งจากบริษัทดีทแฮลม์ ยังผ่อนไม่หมดรถยังเป็นของบริษัทจำเลยที่ 2 ก็ทราบความดังนี้ดี แล้วจำเลยที่ 1 พาจำเลยที่ 2 ไปบริษัทชำระเงินที่ค้างผ่อนส่งแล้วให้บริษัทโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของนอกจากรถคันนี้แล้วจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอย่างใดอีก
ตามฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนี้แสดงว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 2 เป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบตรงตามความใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้
ตามฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนี้แสดงว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 2 เป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบตรงตามความใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมกระทงโทษในคดีอนาจารและลักทรัพย์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการรวมโทษฐานอนาจารซึ่งถึงที่สุดแล้วเข้ากับกระทงลักทรัพย์ไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำอนาจารและลักทรัพย์ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารข้อหาฐานลักทรัพย์ให้ยก โจทก์แต่ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ดังนี้ข้อหาฐานอนาจารจึงถึงที่สุดแล้ว แม้ศาลอุทธรณ์จะฟังว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่งก็ตามศาลอุทธรณ์จะพิพากษารวมกระทงลงโทษจำเลยโดยเอาโทษฐานอนาจารซึ่งถึงที่สุดแล้วมารวมเข้าด้วย(โดยพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 288 กระทงหนึ่งและ มาตรา 246 อีกกระทงหนึ่ง รวมกระทงลงโทษจำเลยให้จำคุกจำเลย 1 ปี ฯลฯ) ดังนี้หาเป็นการชอบไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษรวมกะทงความผิดต่อเนื่อง: ศาลฎีกาตัดสินว่าไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์นำโทษความผิดที่ถึงที่สุดแล้วมารวมกับโทษฐานลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำอนาจารและลักทรัพย์ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารข้อหาฐานลักทรัพย์ให้ยกโจทก์แต่ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ดังนี้ข้อหาฐานอนาจารจึงถึงที่สุดแล้ว แม้ศาลอุทธรณ์จะฟังว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์อีกกะทงหนึ่งก็ตาม ศาลอุทธรณ์จะพิพากษารวมกะทงลงโทษจำเลยโดยเอาโทษฐานอนาจารซึ่งถึงที่สุดแล้วมารวมเข้าด้วย(โดยพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตาม ก.ม.อาญา ม.288 กะทงหนึ่ง และ ม. 246 อีกกะทงหนึ่ง แต่รวมกะทงลงโทษจำเลยให้จำคุกจำเลย 1 ปี ฯลฯ) ดังนี้หาเป็นการชอบไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 932/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีทางเดินต้องเป็นไปตามคำท้าของคู่ความ ศาลมิอาจใช้เหตุอื่นนอกเหนือจากที่ได้ท้ากันไว้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางเดิน คู่ความท้ากันว่าให้ศาลไปตรวจดูที่พิพาทถ้าเห็นว่าที่พิพาทมีลักษณะและสภาพเป็นทางเดินมาก่อนหรือไม่ ถ้าเป็นจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่เป็นโจทก์ยอมแพ้
เมื่อศาลไปตรวจและบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่า"แนวทางเดินเท้าจากต้นมะลุมหมายอักษร ล. ในแผนที่กลางก็มาจบกับปลายทางเกวียนหมายอักษร ข." เพียงเท่านี้ไม่ชัดเจนพอจะเข้าใจได้ว่ามีลักษณะและสภาพเป็นทางคนเดินมาแต่ก่อนตรงกับที่คู่ความท้ากันไว้หรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลยกเอาเหตุอื่นๆ(นอกจากเหตุที่ท้ากันไว้)มาวินิจฉัยประกอบ(บันทึกที่ไม่ชัดนั้น)เพื่อให้เห็นว่าคนซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์ย่อมต้องใช้ทางนี้เป็นทางเข้าออกมาแต่เดิมด้วยแล้วบังคับให้จำเลยเปิดทางคนเดินนั้น เป็นเรื่องนอกคำท้าของคู่ความ เป็นการไม่ชอบ
เมื่อศาลไปตรวจและบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่า"แนวทางเดินเท้าจากต้นมะลุมหมายอักษร ล. ในแผนที่กลางก็มาจบกับปลายทางเกวียนหมายอักษร ข." เพียงเท่านี้ไม่ชัดเจนพอจะเข้าใจได้ว่ามีลักษณะและสภาพเป็นทางคนเดินมาแต่ก่อนตรงกับที่คู่ความท้ากันไว้หรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลยกเอาเหตุอื่นๆ(นอกจากเหตุที่ท้ากันไว้)มาวินิจฉัยประกอบ(บันทึกที่ไม่ชัดนั้น)เพื่อให้เห็นว่าคนซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์ย่อมต้องใช้ทางนี้เป็นทางเข้าออกมาแต่เดิมด้วยแล้วบังคับให้จำเลยเปิดทางคนเดินนั้น เป็นเรื่องนอกคำท้าของคู่ความ เป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 932/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อพิพาทเรื่องทางเดินต้องเป็นไปตามคำท้าของคู่ความ ศาลมิอาจนำเหตุอื่นมาวินิจฉัยได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางเดิน คู่ความท้ากันว่าให้ศาลไปตรวจดูที่พิพาทถ้าเห็นว่าที่พิพาทมีลักษณะและสภาพเป็นทางเดินมาก่อนหรือไม่ ? ถ้าเป็นจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่เป็น โจทก์ยอมแพ้
เมื่อศาลไปตรวจและบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่า "แนวทางเดินเท้าจากต้นมะลุมหมายอักษร ล.ในแผนที่กลางก็มาจบกับปลายทางเกวียน หมายอักษร ข." เพียงเท่านี้ไม่ชัดเจนพอจะเข้าใจได้ว่ามีลักษณะและสภาพเป็นทางคนเดินมาแต่ก่อนตรงกับที่คู่ความท้ากันไว้หรือไม่ ข.ฉนั้นการที่ศาลยกเอาเหตุอื่น ๆ (นอกจากเหตุที่ท้ากันไว้)มาวินิจฉัยประกอบ(บันทึกที่ไม่ชัดนั้น) เพื่อให้เห็นว่าคนซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์ย่อมต้องใช้ทางนี้เป็นทางเข้าออกมาแต่เดิมด้วยแล้วบังคับให้จำเลยเปิดทางคนเดินนั้น เป็นเรื่องนอกคำท้าของคู่ความ เป็นการไม่ชอบ
เมื่อศาลไปตรวจและบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่า "แนวทางเดินเท้าจากต้นมะลุมหมายอักษร ล.ในแผนที่กลางก็มาจบกับปลายทางเกวียน หมายอักษร ข." เพียงเท่านี้ไม่ชัดเจนพอจะเข้าใจได้ว่ามีลักษณะและสภาพเป็นทางคนเดินมาแต่ก่อนตรงกับที่คู่ความท้ากันไว้หรือไม่ ข.ฉนั้นการที่ศาลยกเอาเหตุอื่น ๆ (นอกจากเหตุที่ท้ากันไว้)มาวินิจฉัยประกอบ(บันทึกที่ไม่ชัดนั้น) เพื่อให้เห็นว่าคนซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์ย่อมต้องใช้ทางนี้เป็นทางเข้าออกมาแต่เดิมด้วยแล้วบังคับให้จำเลยเปิดทางคนเดินนั้น เป็นเรื่องนอกคำท้าของคู่ความ เป็นการไม่ชอบ