คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุลยการณ์โกวิท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,606 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในทรัพย์สินของคนไทย: พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจขัดขวางการจดทะเบียนโดยไม่ชอบ
ไม่มีบทกฎหมายในที่ใดว่า คนไทยจะถือกรรมสิทธิที่ดินจะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนก่อน หรือว่าจะมีกฎหมายให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนให้หน่วงเหนียวขัดขวางการรับจดทะเบียนไว้ตามอำเภอใจ พ.ร.บ.ว่าด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2486 ซึ่งแก้ไข พ.ศ.2492 ก็ได้แต่เพียงบัญญัติให้บุคคลตามตำแหน่งหน้าที่ระบุไว้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ขึ้นตามประมวลกฎหมายเท่านั้น หาได้ม่ข้อควาามใดที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอนุญาตการซื้อขาย หรือหน่วงเหนียวขัดขวางหารขอจดทะเบียนนิติกรรมของราษฎรไว้ได้ไม่ ตรงกันข้ามกลับมีบายัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 26 ระบุไว้อีกว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในทรัพย์สิน ฯลฯ ทั้งนี้ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย" ฉะนั้นการที่ราษฎรคนไทยขอให้นายอำเภอในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ดำเนินการเพื่อทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินให้ตน แต่นายอำเภออ้างว่าผู้ร้องมีบิดาเป็นคนต่างด้าว จึงต้องทำการสอบสวน และส่งเรื่องไปให้กรมที่ดินก่อนตามที่กระทรวงมหาดไทย วางระเบียบไว้ โดยที่ปรากฎอยู่ตามคำพิพากษาของศาลแล้วว่า ผู้นั้นเป็นคนสัญชาติไทย นั้น ย่อมเป็นข้ออ้างที่ปราศจากมูลที่จะหน่วงเหนียวขัดขวางการรับจดทะเบียนนิติกรรมเสียเลย การกระทำนายอำเภอจึงเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายย่อมเป็นการกระทำละเมิดและจะอ้างว่า มีบุคคลอื่นใช้ให้ทำก็หาให้พ้นจากความรับผิดไม่ และระเบียบของกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวหากจะมีจริงก็มิใช่กฎหมาย และไม่มีกฎหมายอันใด ให้อำนาจให้ออกระเบียบเช่นนั้นได้ ฉะนั้นจะใช้บังคับแก่ประชาชน จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่เขานั้น ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อตั้งตรัสต์ต้องมีเจตนาชัดเจนยกทรัพย์และผูกมัดการใช้ประโยชน์ให้ชัดเจน มิฉะนั้นถือเป็นทรัพย์มรดก
กรณีจะเป็นตรัสต์นั้น ต้องมีข้อความให้เห็นได้ว่า ยกกรรมสิทธิในทรัพย์ให้ แต่ผูกมัดไว้ว่า ผู้รับกรรมสิทธินั้จะต้องใช้ทรัพย์นั้นให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลใด ๆ อันกำหนดตัวได้แน่นอนหรือเพื่อสาธารณะกุศลอันแน่นอน
การสั่งให้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างเป็นกองกลาง เพื่อให้บุตรหลานมีสิทธิได้อยู่อาศัยและเก็บกิน ซึ่งผลประโยชน์ไปจนตลอดชีวิต เมื่อบุตรหลานคนใดไม่มีทุนรอน ก็ให้เงินทำทุนพอสมควร โดยตั้งให้ทายาทคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองทรัพย์ กับมีหน้าที่เก็บเงิน ทำบุญวัดและบ้านนั้น เป็นคำสั่งที่ใช้คำกว้าง ๆ ไม่แน่นอนมิได้กำหนดให้ชัดว่าทำบุญอะไร วัดไหน และบ้านแห่งใด ดังนี้ จึงไม่ใช่เป็นกรณีก่อให้ตั้งตรัสต์ และต้องถือว่าข้อกำหนดในพินัยกรรมดังกล่าวแล้ว ไม่มีผล ทรัพย์มรดกจึงตกทอดไปยังทายาทโดยธรรมไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อตั้งทรัสต์ต้องมีเจตนาชัดเจน ยกทรัพย์ให้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือสาธารณะ คำสั่งกว้างๆ ไม่ถือเป็นทรัสต์
กรณีจะเป็นทรัสต์นั้น ต้องมีข้อความให้เห็นได้ว่า ยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ให้ แต่ผูกมัดไว้ว่า ผู้รับกรรมสิทธิ์นั้นจะต้องใช้ทรัพย์นั้นให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลใดๆอันกำหนดตัวได้แน่นอนหรือเพื่อสาธารณะกุศลอันแน่นอน
การสั่งให้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างเป็นกองกลาง เพื่อให้บุตรหลานมีสิทธิได้อยู่อาศัยและเก็บกิน ซึ่งผลประโยชน์ต่อไปจนตลอดชีวิต เมื่อบุตรหลานคนใดไม่มีทุนรอน ก็ให้เงินทำทุนพอสมควร โดยตั้งให้ทายาทคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองทรัพย์ กับมีหน้าที่เก็บเงิน ทำบุญวัดและบ้านนั้นเป็นคำสั่งที่ใช้คำกว้างๆ ไม่แน่นอนมิได้กำหนดให้ชัดว่าทำบุญอะไร วัดไหนและบ้านแห่งใด ดังนี้ จึงไม่ใช่เป็นกรณีก่อตั้งทรัสต์ และต้องถือว่าข้อกำหนดในพินัยกรรมดังกล่าวแล้วไม่มีผล ทรัพย์มรดกจึงตกทอดไปยังทายาทโดยธรรมต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 784/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิในการของดการบังคับคดี: เมื่อยอมปฏิบัติตามคำสั่งศาลแล้ว จะกลับมายื่นคำร้องใหม่ไม่ได้
แม้ศาลจะพิพากษาและหมายบังคับคดีไปแล้ว หากมีพฤติการณ์ภายหลังเปลี่ยนแปลงไป อันทำให้การบังคับคดีไร้ผลแล้ว คู่ความที่ถูกศาลบังคับนั้นอาจขอให้ศาลไต่สวนเพื่องดการ บังคับคดีเสียได้
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลขอให้งดการบังคับคดี ศาลเรียกโจทก์จำเลยมาพร้อมกัน จำเลยกลับยอมปฏิบัติตามบังคับศาล โดยขอให้โจทก์ผ่อนระยะเวลาให้ จนศาลสั่งให้เป็นไปตามที่ตกลงกันแล้ว ดังนี้ จำเลยจะมายื่นคำร้องขอให้ศาลงดการบังคับคดีอีก โดยอ้างเหตุอย่างเดิมไม่ได้ เพราะถือได้ว่า จำเลยได้สละสิทธิในการที่จะให้งดการบังคับคดีเสียแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 784/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดบังคับคดี: การยอมปฏิบัติตามคำบังคับศาลทำให้สละสิทธิในการขอให้งดบังคับคดี
แม้ศาลจะพิพากษาและหมายบังคับคดีไปแล้ว หากมีพฤติการณ์ภายหลังเปลี่ยนแปลงไป อันทำให้การบังคับคดีไร้ผลแล้วคู่ความที่ถูกศาลบังคับนั้นอาจขอให้ศาลไต่สวนเพื่องดการบังคับคดีเสียได้
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลขอให้งดการบังคับคดี ศาลเรียกโจทก์จำเลยมาพร้อมกัน จำเลยกลับยอมปฏิบัติตามคำบังคับศาล โดยขอให้โจทก์ผ่อนระยะเวลาให้จนศาลสั่งให้เป็นไปตามที่ตกลงกันแล้ว ดังนี้ จำเลยจะมายื่นคำร้องขอให้ศาลงดการบังคับคดีอีก โดยอ้างเหตุอย่างเดิมไม่ได้เพราะถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธิในการที่จะให้งดการบังคับคดีเสียแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763-766/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การ ‘ตั้งบ้านเรือน’ ตามกฎหมายเทศบาล พิจารณาจาก ‘ที่อยู่เป็นปกติ’ ในเขตเทศบาล แม้ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน
คำว่า ตั้งบ้านเรือนตามความหมายของ พ.ร.บ.เทศบาล 2486 หรือ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ.2492 นั้น ต้องตีความว่า มีความหมายตลอดไปถึงบุคคลที่อยู่ในเคหะสถานบ้านเรือนของผู้อื่นด้วย จะหมายเฉพาะแต่ผู้เป็นเจ้าของบ้านของตนเองเท่านั้นหาได้ไม่ ฉะนั้นการตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเทศบาลตามกฎหมายเกี่ยวกับเทศบาล จึงมีความหมายเกียวกับการเทศบาล จึงมีความหมายถึงการที่บุคคลมีที่อยู่เป็นปรกติในเคหะสถานใด ๆ ในเขตเทศบาลนั่นเอง ซึ่งย่อมตรงกับคำว่าเจ้าบ้านและผู้อยู่ในบ้าน ตาม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พ.ศ.2479
การที่มีชื่อผู้ใดเป็นผู้อยู่ในบ้านตามทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาลนั้น ย่อมเป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ผู้นั้นได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเทศบาลนั้น ฉะนั้นเพียงแต่ได้ความว่า ผู้นั้นไปได้ภรรยาที่ตำบลอื่นหรือไปมีบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลอื่นโดยมิได้ความว่าผู้นั้นได้ละทิ้งที่อยู่เดิมในเขตเทศบาลตามที่ปรากฎในทะเบียนราษฎรเป็นที่อยู่ต่อไปแล้ว ก็จะฟังเป็นข้อพิศูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้วไม่ได้ จึงต้องฟังว่าผู้นั้นยังมีที่อยู่ในเขตเทศบาลอยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763-766/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความ ‘ตั้งบ้านเรือน’ ในกฎหมายเทศบาล: ที่อยู่ถาวรในเขตเทศบาลคือหลักเกณฑ์
คำว่า ตั้งบ้านเรือนตามความหมายของ พระราชบัญญัติเทศบาล 2486หรือ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ.2492 นั้นต้องตีความว่า มีความหมายตลอดไปถึงบุคคลที่อยู่ในเคหสถานบ้านเรือนของผู้อื่นด้วยจะหมายเฉพาะแต่ผู้เป็นเจ้าของบ้านของตนเองเท่านั้นหาได้ไม่ฉะนั้นการตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเทศบาลตามกฎหมายเกี่ยวกับการเทศบาลจึงมีความหมายถึงการที่บุคคลมีที่อยู่เป็นปรกติในเคหสถานใดๆ ในเขตเทศบาลนั่นเองซึ่งย่อมตรงกับคำว่าเจ้าบ้านและผู้อยู่ในบ้าน ตาม พระราชบัญญัติ การทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พ.ศ.2479
การที่มีชื่อผู้ใดเป็นผู้อยู่ในบ้านตามทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาลนั้นย่อมเป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ผู้นั้นได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเทศบาลนั้นฉะนั้นเพียงแต่ได้ความว่าผู้นั้นไปได้ภรรยาที่ตำบลอื่นหรือไปมีบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลอื่นโดยมิได้ความว่าผู้นั้นได้ละทิ้งที่อยู่เดิมในเขตเทศบาลตามที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร เป็นที่อยู่ต่อไปแล้ว ก็จะฟังเป็นข้อพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้วไม่ได้จึงต้องฟังว่าผู้นั้นยังมีที่อยู่ในเขตเทศบาลอยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้หลังการขายทอดตลาด: สิทธิในการไถ่คืนทรัพย์เมื่อยังไม่มีนิติกรรม
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า เจ้าพนักงานศาลขายทอดตลาดฝนกำลังตกหนัก จำเลยมาสายไป 20 นาที จะขอชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานแจ้งว่า ขายแล้ว จึงขอให้จำเลยวางเงินชำระหนี้โจทก์และคืนทรัพย์ที่ยึดให้จำเลย
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์อ้างเหตุว่า ในวันขายทรัพย์ยังไม่หมดเวลาทำงานจำเลยมีความชอบธรรมที่จะนำเงินมาชำระหนี้ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า แม้ศาลขายทอดตลาดแล้วแต่ทรัพย์ที่ขายเป็นอสังหาริมทรัพย์ยังมิได้ทำนิติกรรมซื้อขายต่อกรมการอำเภอ จำเลยชอบที่จะขอไถ่คืนทรัพย์ที่ขายได้ ดังนี้วินิจฉัยว่า จำเลยเพิ่งมากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอไถ่คืนทรัพย์หลังขายทอดตลาด: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่ที่ยกขึ้นในชั้นฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า เจ้าพนักงานศาลขายทอดตลาดฝนกำลังตกหนัก จำเลยมาสายไป 20 นาที จะขอชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานแจ้งว่า ขายแล้ว จึงขอให้จำเลยวางเงินชำระหนี้ โจทก์และคืนทรัพย์ที่ยึดให้จำเลย
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์อ้างเหตุว่า ในวันขายทรัพย์ยังไม่หมดเวลาทำงาน จำเลยมีความชอบธรรมที่จะนำเงินมาชำนะหนี้ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า แม้ศาลขายทอดตลาดแล้ว แต่ทรัพย์ที่ขายเป็นอสังหาริมทรัพย์ ยังมิได้ทำนิติกรรมซื้อขายต่อกรมการอำเภอ จำเลยชอบที่จะขอไถ่คืนทรัพย์ที่ขายได้ ดังนี้ วินิจฉัยว่า จำเลยเพิ่งมากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 733/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฝ่าฝืนประกาศควบคุมราคาน้ำมัน แม้ขายไม่ถึงปริมาณที่กำหนดก็มีผิด พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร
ประกาศของคณะกรรมการฯกำหนดไม่ให้ขายน้ำมันเบ็นซินเกินกว่าถังละ 32 บาท(ถังหนึ่งมี 20 ลิตร) แม้จำเลยขายน้ำมันเบ็นซินไม่ถึง 20 ลิตรก็ตาม แต่จำเลยขายไปเป็นปีบมีจำนวนน้ำมัน 19 ลิตร และขายไปในราคา 34 บาท ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยมีเจตนาฝ่าฝืนประกาศของคณะกรรมการฯลฯ จึงต้องมีความผิด พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร 2490 มาตรา 17.
of 161