พบผลลัพธ์ทั้งหมด 817 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1385/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีศาสนสมบัติ, การแต่งตั้งทนาย, และการบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินวัด
กรมการศาสนามีอำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับศาสนสมบัติของวัดได้เพราะมีระเบียบตราไว้ให้มีอำนาจจัดการผลประโยชน์ของวัด
อธิบดีผู้ซึ่งมีกระแสพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งแล้ว แต่ยังไม่ได้รับทราบคำสั่งและยังไม่ได้ส่งมอบงานย่อมยังมีอำนาจตั้งทนายแทนกรมได้
เมื่อตำแหน่งอธิบดีว่างลง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงย่อมมีอำนาจตั้งข้าราชการชั้นใด ๆ ก็ได้เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดี ในเมื่อเห็นเป็นการสมควรผู้รักษาการผู้ได้รับคำสั่งนั้นย่อมมีอำนาจตั้งทนายแทนกรมนั้นได้.
อธิบดีผู้ซึ่งมีกระแสพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งแล้ว แต่ยังไม่ได้รับทราบคำสั่งและยังไม่ได้ส่งมอบงานย่อมยังมีอำนาจตั้งทนายแทนกรมได้
เมื่อตำแหน่งอธิบดีว่างลง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงย่อมมีอำนาจตั้งข้าราชการชั้นใด ๆ ก็ได้เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดี ในเมื่อเห็นเป็นการสมควรผู้รักษาการผู้ได้รับคำสั่งนั้นย่อมมีอำนาจตั้งทนายแทนกรมนั้นได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทานบนที่ทำกับบุคคลที่ไม่ได้เป็นสามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นผลผูกพันบังคับได้ และศาลไม่แก้ไขคำพิพากษาเดิมเมื่อจำเลยไม่ฎีกา
ฟ้องขอหย่าและให้ริบทรัพย์โดยอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดทานบล เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์จำเลยไม่เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วย ก.ม.แล้ว เรื่องผิดทานบลจึงเป็นเพียงข้อตกลงกันตามธรรมดา เมื่อไม่มีมูลหนี้ผูกพันกันตาม ก.ม.ก็บังคับกันไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ริบทรัพย์จำเลยตามทานบนเมื่อศาลวินิจฉัยว่าทานบนใช้บังคับไม่ได้ คดีก็ไม่มีประเด็นว่าจะแบ่งทรัพย์กันเพียงใดหรือไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งทรัพย์แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้ง ศาลฎีกาย่อมไม่แก้ไข.
โจทก์ฟ้องขอให้ริบทรัพย์จำเลยตามทานบนเมื่อศาลวินิจฉัยว่าทานบนใช้บังคับไม่ได้ คดีก็ไม่มีประเด็นว่าจะแบ่งทรัพย์กันเพียงใดหรือไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งทรัพย์แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้ง ศาลฎีกาย่อมไม่แก้ไข.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทานบนหลังไม่จดทะเบียนสมรส: ข้อตกลงธรรมดา ไม่ผูกพันทางกฎหมาย, ศาลไม่แก้ไขคำพิพากษาแบ่งทรัพย์ที่โจทก์ไม่ฎีกา
ฟ้องขอหย่าและให้ริบทรัพย์โดยอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดทัณฑ์บน เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์จำเลยไม่เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เรื่องผิดทัณฑ์บนจึงเป็นเพียงข้อตกลงกันตามธรรมดา เมื่อไม่มีมูลหนี้ผูกพันกันตามกฎหมายก็บังคับกันไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ริบทรัพย์จำเลยตามทัณฑ์บนเมื่อศาลวินิจฉัยว่าทัณฑ์บนใช้บังคับไม่ได้ คดีก็ไม่มีประเด็นว่าจะแบ่งทรัพย์กันเพียงใดหรือไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งทรัพย์แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้ง ศาลฎีกาย่อมไม่แก้ไข
โจทก์ฟ้องขอให้ริบทรัพย์จำเลยตามทัณฑ์บนเมื่อศาลวินิจฉัยว่าทัณฑ์บนใช้บังคับไม่ได้ คดีก็ไม่มีประเด็นว่าจะแบ่งทรัพย์กันเพียงใดหรือไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งทรัพย์แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้ง ศาลฎีกาย่อมไม่แก้ไข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พฤติการณ์แสดงเจตนาข่มขืนและการสมคบคิดเป็นตัวการในความผิดฐานพยายามข่มขืน
ชายเตะขาหญิงล้มแล้วตบเตะจิกผมขึ้นคร่อมนอนทับแล้วปลดกระดุมกางเกงและเลิกผ้าถุงหญิงขึ้นไปถึงโคนขา หญิงเอามือกดผ้าถุงปิดของลับและยันอกชายไว้ร้องให้คนช่วย ชายอุดปากบีบคอจับนมและจูบแก้มหญิง จนมีคนวิ่งมาร้องถามชายจึงผละหนีไปดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าชายมีเจตนาจะข่มขืนกระทำชำเราหญิง พฤติการณ์จึงเป็นการพยายามข่มขืนกระทำชำเรา
การที่จำเลยพูดกับชายนั้นแล้วเดินตามหญิงมากับชายนั้นขณะที่ชายกอดปล้ำหญิง จำเลยยืนถือมีดห่างหญิง 1 ศอกทั้งยังช่วยตบเตะและพูดขู่ไม่ให้หญิงร้อง เมื่อชายให้จำเลยไปคอยจำเลยก็ไป ตอนที่มีคนวิ่งไล่ชายนั้นจำเลยก็วิ่งหนีแล้วหันกลับมาท้าคนไล่ ชายนั้นยังเอามีดของจำเลยมาขู่คนไล่จนจำเลยกับชายนั้นวิ่งเข้าป่าไปพฤติการณ์เหล่านี้ย่อมส่อแสดงว่าจำเลยได้สมคบกับชายนั้นมาแต่ต้นจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการด้วย
การที่จำเลยพูดกับชายนั้นแล้วเดินตามหญิงมากับชายนั้นขณะที่ชายกอดปล้ำหญิง จำเลยยืนถือมีดห่างหญิง 1 ศอกทั้งยังช่วยตบเตะและพูดขู่ไม่ให้หญิงร้อง เมื่อชายให้จำเลยไปคอยจำเลยก็ไป ตอนที่มีคนวิ่งไล่ชายนั้นจำเลยก็วิ่งหนีแล้วหันกลับมาท้าคนไล่ ชายนั้นยังเอามีดของจำเลยมาขู่คนไล่จนจำเลยกับชายนั้นวิ่งเข้าป่าไปพฤติการณ์เหล่านี้ย่อมส่อแสดงว่าจำเลยได้สมคบกับชายนั้นมาแต่ต้นจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามข่มขืนและการสมคบเพื่อกระทำความผิดทางอาญา
ชายเตะขาหญิงล้มแล้วตบเตะจิกผมขึ้นคร่อมนอนทับแล้วปลดกระดุมกางเกงและเลิกผ้าถุงหญิงขึ้นไปถึงโคนขา หญิงเอามือกดผ้าถุงปิดของลับและยันอกชายไว้ร้องให้คนช่วย ชายอุดปากบีบคอจับนมและจูบแก้มหญิงจนมีคนวิ่งมาร้องถาม ชายจึงผละหนีไปดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าชายมีเจตนาจะข่มขืนกระทำชำเราหญิง พฤติการณ์จึงเป็นการพยายามข่มขืนกระทำชำเรา
การที่จำเลยพูดกับชายนั้นแล้วเดินตามหญิงมากับชายนั้น ขณะที่ชายกอดปล้ำหญิง จำเลยยืนถือมีดห่างหญิง 1 ศอก ทั้งยังช่วยตบเตะและพูดขู่ไม่ให้หญิงร้อง เมื่อชายให้จำเลยไปคอยจำเลยก็ไป ตอนที่มีคนวิ่งไล่ชายนั้นจำเลยก็วิ่งหนีแล้วหันกลับมาท้าคนไล่ชายนั้นยังเอามีดของจำเลยมาขู่คนไล่จนจำเลยกับชายนั้นวิ่งเข้าป่าไป พฤติการณ์เหล่านี้ย่อมส่อแสดงว่าจำเลยได้สมคบกับชายนั้นมาแต่ต้นจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการด้วย.
การที่จำเลยพูดกับชายนั้นแล้วเดินตามหญิงมากับชายนั้น ขณะที่ชายกอดปล้ำหญิง จำเลยยืนถือมีดห่างหญิง 1 ศอก ทั้งยังช่วยตบเตะและพูดขู่ไม่ให้หญิงร้อง เมื่อชายให้จำเลยไปคอยจำเลยก็ไป ตอนที่มีคนวิ่งไล่ชายนั้นจำเลยก็วิ่งหนีแล้วหันกลับมาท้าคนไล่ชายนั้นยังเอามีดของจำเลยมาขู่คนไล่จนจำเลยกับชายนั้นวิ่งเข้าป่าไป พฤติการณ์เหล่านี้ย่อมส่อแสดงว่าจำเลยได้สมคบกับชายนั้นมาแต่ต้นจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1326/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดิน: การซื้อโดยสุจริตและจดทะเบียนย่อมมีผลเหนือการครอบครองก่อน
โจทก์กล่าวในฟ้องได้ความว่าโจทก์ได้ซื้อที่มีโฉนดมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้ว จำเลยต่อสู้แต่เพียงว่าได้ครอบครองมากว่า 10 ปี ไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนมาโดยไม่สุจริตเช่นนี้ คดีย่อมไม่มีประเด็นจะต้องนำสืบต่อไป
คดีพิพาทเรื่องกรรมสิทธิที่ดินโจทก์กล่าวในฟ้องว่ามีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่เศษ แม้ความจริงปรากฏต่อมาว่ามี4 ไร่เศษ แต่คู่ความก็รับกันว่าที่พิพาทคือ 4 ไร่เศษนี้และศาลสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลครบจำนวนที่ดินแล้วศาลย่อมมีคำพิพากษาถึงที่ทั้ง 4 ไร่เศษนั้นได้
คดีพิพาทเรื่องกรรมสิทธิที่ดินโจทก์กล่าวในฟ้องว่ามีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่เศษ แม้ความจริงปรากฏต่อมาว่ามี4 ไร่เศษ แต่คู่ความก็รับกันว่าที่พิพาทคือ 4 ไร่เศษนี้และศาลสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลครบจำนวนที่ดินแล้วศาลย่อมมีคำพิพากษาถึงที่ทั้ง 4 ไร่เศษนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1326/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินโดยสุจริตและจดทะเบียน ย่อมมีสิทธิเหนือการครอบครองที่ไม่จดทะเบียน แม้จะครอบครองนาน
โจทก์กล่าวในฟ้องได้ความว่าโจทก์ได้ซื้อที่มีโฉนดมาโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้ว จำเลยต่อสู้แต่เพียงว่าได้ครอบครองมากว่า 10 ปี ไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนมาโดยไม่สุจริตเช่นนี้คดีย่อมไม่มีประเด็นจะต้องนำสืบต่อไป
คดีพิพาทเรื่องกรรมสิทธิที่ดินโจทก์กล่าวในฟ้องว่ามีเนื่อที่ ประมาณ 2 ไร่เศษ แม้ความจริงปรากฎต่อมาว่ามี 4 ไร่เศษ แต่คู่ความก็รับกันว่าที่พิพาทคือ 4 ไร่เศษนี้และศาลสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลครบจำนวนที่ดินแล้ว ศาลย่อมมีคำพิพากษาถึงที่ทั้ง 4 ไร่เศษนั้นได้
คดีพิพาทเรื่องกรรมสิทธิที่ดินโจทก์กล่าวในฟ้องว่ามีเนื่อที่ ประมาณ 2 ไร่เศษ แม้ความจริงปรากฎต่อมาว่ามี 4 ไร่เศษ แต่คู่ความก็รับกันว่าที่พิพาทคือ 4 ไร่เศษนี้และศาลสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลครบจำนวนที่ดินแล้ว ศาลย่อมมีคำพิพากษาถึงที่ทั้ง 4 ไร่เศษนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษกักกันผู้กระทำผิดซ้ำ: ต้องมีโทษจำคุกจริง 2 ครั้งขึ้นไป จึงจะเพิ่มโทษได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 288,60 มีกำหนด 1 ปี จำเลยมีอายุไม่เกิน 20 ปี ลดให้ 1 ใน 3 คงจำ 8 เดือน เพิ่มตาม มาตรา 73 อีกกึ่งหนึ่งและลดฐานรับสารภาพให้ 1 ใน 3 คงให้จำคุกไว้ 8 เดือนเมื่อจำเลยพ้นโทษแล้วให้ส่งตัวไปกักกันมีกำหนด 3 ปีตาม พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.2479 มาตรา 8,9
แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่ากระทำผิดมาแล้ว 5 ครั้งๆ ที่ 1 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้เรียกทัณฑ์บน ครั้งที่ 2 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้ส่งโรงเรียนดัดสันดานมีกำหนด 3 ปี ครั้งที่ 3 ฐานเล่นการพนันไพ่ปรับ 30บาท ครั้งที่ 4 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้ส่งสถานพินิจฝึกและอบรม ครั้งที่ 5 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้จำคุก 2 ปี เห็นได้ว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกจริงคือสำหรับครั้งที่ 5 นี้เท่านั้นจึงเพิ่มโทษกักกันจำเลยไม่ได้
แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่ากระทำผิดมาแล้ว 5 ครั้งๆ ที่ 1 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้เรียกทัณฑ์บน ครั้งที่ 2 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้ส่งโรงเรียนดัดสันดานมีกำหนด 3 ปี ครั้งที่ 3 ฐานเล่นการพนันไพ่ปรับ 30บาท ครั้งที่ 4 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้ส่งสถานพินิจฝึกและอบรม ครั้งที่ 5 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้จำคุก 2 ปี เห็นได้ว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกจริงคือสำหรับครั้งที่ 5 นี้เท่านั้นจึงเพิ่มโทษกักกันจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษกักกันผู้กระทำผิดซ้ำ: จำเลยต้องโทษจำคุกจริงไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง จึงจะเพิ่มโทษกักกันได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยตาม ก.ม.อาญา ม.288,60 มีกำหนด 1 ปี จำเลยมีอายุไม่เกิน 20 ปีลดให้1 ใน 3 คงจำ 8 เดือน เพิ่มตาม ม.73 อีกกึ่งหนึ่งและลดฐานรับสารภาพให้ 1 ใน 3 คงให้จำคุกไว้ 8 เดือน เมื่อจำเลยพ้นโทษแล้วให้ส่งตัวไปกักกันมีกำหนด 3 ปี ตาม พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดาน เป็นผู้ร้าย พ.ศ.2479 ม.8,9
แต่เมื่อปรากฎว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่ากระทำผิดมาแล้ว 5 ครั้ง ๆ ที่ 1 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้เรียกทัณฑ์บล ครั้งที่ 2 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้ส่งโรงเรียนดัดสันดานมีกำหนด 3 ปี ครั้งที่ 3 ฐานเล่นการพนันไพ่ปรับ 30 บาท ครั้งที่ 4 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้ส่งสถานพินิจผึกและอบรม ครั้งที่ 5 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้จำคุก 2 ปี เห็นได้ว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกจริงคือสำหรับครั้งที่ 5 นี้เท่านั้น จึงเพิ่มโทษกักกันจำเลยไม่ได้
แต่เมื่อปรากฎว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่ากระทำผิดมาแล้ว 5 ครั้ง ๆ ที่ 1 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้เรียกทัณฑ์บล ครั้งที่ 2 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้ส่งโรงเรียนดัดสันดานมีกำหนด 3 ปี ครั้งที่ 3 ฐานเล่นการพนันไพ่ปรับ 30 บาท ครั้งที่ 4 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้ส่งสถานพินิจผึกและอบรม ครั้งที่ 5 ฐานวิ่งราวทรัพย์ให้จำคุก 2 ปี เห็นได้ว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกจริงคือสำหรับครั้งที่ 5 นี้เท่านั้น จึงเพิ่มโทษกักกันจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการต่อสู้คดีและการกู้ยืมเงินของบริษัท การกู้ยืมเงินไม่เกินวัตถุประสงค์
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ซึ่งตามสัญญามีข้อความชัดว่าผู้กู้ได้รับเงินไปแล้วจำเลยต่อสู้เพียงว่าไม่ได้รับเงินไป เหตุใดจึงไม่มีการรับเงินอันจะทำให้สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ไม่สมบูรณ์ จำเลยหาได้กล่าวอ้างอย่างใดไม่ ดังนี้จำเลยจะขอนำสืบไม่ได้ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.ม.94
ในวัตถุประสงค์ของบริษัทข้อ 11 ระบุไว้ว่า "ฯลฯทำการนำทรัพย์สินของบริษัทที่มีอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วน ฯลฯ จำนำ จำนอง เอาค้ำประกันจำหน่ายไปหมุนส่งเป็นตัวเงินหรือจัดการอย่างใดก็ได้สุดแต่บรีษัทจะเห็นสมควร " ดังนี้เมื่อการกู้ยืมโดยเอาทรัพย์สินของบริษัทมอบไว้หรือตราไว้เป็นประกันเงินกู้ซึ่งเรียกว่าจำนำหรือจำนองไว้แล้ว และการกู้ยืมธรรมดาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้โดยสิ้นเชิงย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอำนาจของบริษัทที่จะทำได้การกู้เช่นนี้จึงไม่เป็นการนอกวัตถุประสงค์ของบริษัทจำเลย
ฎีกาที่ 246/2485,799/2493,1111/2496
ในวัตถุประสงค์ของบริษัทข้อ 11 ระบุไว้ว่า "ฯลฯทำการนำทรัพย์สินของบริษัทที่มีอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วน ฯลฯ จำนำ จำนอง เอาค้ำประกันจำหน่ายไปหมุนส่งเป็นตัวเงินหรือจัดการอย่างใดก็ได้สุดแต่บรีษัทจะเห็นสมควร " ดังนี้เมื่อการกู้ยืมโดยเอาทรัพย์สินของบริษัทมอบไว้หรือตราไว้เป็นประกันเงินกู้ซึ่งเรียกว่าจำนำหรือจำนองไว้แล้ว และการกู้ยืมธรรมดาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้โดยสิ้นเชิงย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอำนาจของบริษัทที่จะทำได้การกู้เช่นนี้จึงไม่เป็นการนอกวัตถุประสงค์ของบริษัทจำเลย
ฎีกาที่ 246/2485,799/2493,1111/2496